‘แม่โจ้โพลล์’ เผยคนเชียงใหม่ร้อยละ 96.38 บอกเชียงใหม่เสี่ยงโคโรนาระบาด ห่วงมาตรการควบคุมโรคของรัฐ
แม่โจ้โพลล์ ภายใต้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร ได้สำรวจความคิดเห็นของคนเชียงใหม่ จำนวน 828 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3 – 7 กุมภาพันธ์ 2563 ในหัวข้อ “ชาวเชียงใหม่กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสอบถามชาวเชียงใหม่เกี่ยวกับความวิตกกังวล ความรู้ พฤติกรรม และความเชื่อมั่นต่อมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าของภาครัฐ สรุปผลได้ดังนี้
จากการสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับการรับทราบข่าวสาร/สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศไทยและจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 98.55 ทราบข่าวสาร/สถานการณ์ มีเพียงร้อยละ 1.45 ที่ไม่ทราบข่าวสาร/สถานการณ์ดังกล่าว
เมื่อสอบถามถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรน่า พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 88.53 มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยร้อยละ 69.81 มีความรู้ในเรื่องสาเหตุของการติดเชื้อ ร้อยละ 69.08 มีความรู้ในเรื่องอาการเมื่อเกิดการติดเชื้อ ร้อยละ 78.14 มีความรู้ในเรื่องวิธีป้องกันการติดเชื้อ ร้อยละ 66.79 มีความรู้ในเรื่องความเสี่ยงและสถานการณ์การติดเชื้อ และร้อยละ 1.09 มีความรู้ในเรื่องอื่นๆ เช่น วิธีการรักษา เป็นต้น มีเพียงร้อยละ 11.47 ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว
โดยเมื่อสอบถามถึงแหล่งความรู้/ข่าวสารเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรน่า พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 96.14 ได้รับความรู้จากสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ไลน์ เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม รองลงมา ร้อยละ 65.46 ได้รับความรู้จากโทรทัศน์ ร้อยละ 28.99 ได้รับความรู้จากญาติ พี่น้อง และคนในครอบครัว ร้อยละ 12.20 ได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และร้อยละ 1.93 ได้รับความรู้จากแหล่งอื่นๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการ ตามลำดับ
เมื่อสอบถามถึงความเสี่ยงของจังหวัดเชียงใหม่ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 96.38 มีความคิดเห็นว่าจังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่บาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยร้อยละ 62.53 คิดว่ามีความเสี่ยงมาก ร้อยละ 32.96 คิดว่ามีความเสี่ยงปานกลาง และร้อยละ 4.51 คิดว่ามีความเสี่ยงน้อย ตามลำดับ มีเพียงร้อยละ 3.62 ที่มีความคิดเห็นว่าจังหวัดเชียงใหม่ไม่ได้เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า
เมื่อสอบถามถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 88.89 มีความวิตกกังวล โดยร้อยละ 53.53 มีความวิตกกังวลมาก ร้อยละ 42.12 มีความวิตกกังวลปานกลาง และร้อยละ 4.35 มีความวิตกกังวลน้อย ตามลำดับ มีเพียงร้อยละ 11.11 ที่ไม่มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว
และเมื่อสอบถามถึงการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตประจำวันในช่วงที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 84.30 ใช้วิธีสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเดินทางออกจากที่พัก รองลงมา ร้อยละ 73.79 ใช้วิธีหลีกเลี่ยงกิจกรรมในสถานที่คนหนาแน่น เช่น การช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าหรือตลาดนัด ร้อยละ 68.60 ใช้วิธีพักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาความสะอาดของร่างกาย เช่น ล้างมือเป็นประจำ ร้อยละ 64.13 ใช้วิธีรับประทานเฉพาะอาหารที่ปรุงสุก กินร้อน ใช้ช้อนกลาง ร้อยละ 61.11 ใช้วิธีไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีอาการทางเดินหายใจ หรือมีอาการหวัด ร้อยละ 38.41 ใช้วิธีงดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ร้อยละ 37.92 ใช้วิธีงดการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ร้อยละ 34.18 ใช้วิธีหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์หรือสินค้าจากสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ ตามลำดับ มีเพียงร้อยละ 15.22 ที่ดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ
ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงความเชื่อมั่นต่อมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในปัจจุบันของภาครัฐ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 66.79 มีความเชื่อมั่นในระดับน้อย รองลงมา ร้อยละ 27.78 มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง มีเพียงร้อยละ 27.78 ที่มีความเชื่อมั่นในระดับมาก
จะเห็นได้ว่าชาวเชียงใหม่ส่วนใหญ่ติดตามข้อมูลข่าวสาร และตื่นตัวต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า เนื่องจาก จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ประกอบกับความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ และความไม่มั่นใจต่อมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในปัจจุบันของภาครัฐ จึงทำให้ชาวเชียงใหม่มีการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การหลีกเลี่ยงกิจกรรมในสถานที่คนหนาแน่น การช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าหรือตลาดนัด และงดกิจกรรมการท่องเที่ยว ทำให้ประชาชนไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอย ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดและประเทศ
ด้วยเหตุนี้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดกรองนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ซึ่งควรให้มีการกำหนดมาตรการฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพในทุกสนามบินระดับนานาชาติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลรายละเอียดมาตรการนั้นๆ อย่างชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนภายในประเทศอย่างเร่งด่วน อีกทั้งควรดำเนินการไปพร้อมกับการส่งเสริมความรู้ในการปฎิบัติตนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอย่างถูกวิธี ซึ่งจะเป็นการควบคุมดูแลทั้งในภาพใหญ่และภาพเล็ก
ข้อมูล : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร (แม่โจ้โพลล์) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โทรศัพท์ 053-875265