กรมอุทยานฯเผย จนท.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เข้าตรวจการบุกรุกถางป่าใหม่ ก่อนถูกกลุ่มบุคคลดังกล่าวเข้ามาทำร้ายก่อน ใช้จอบฟาดเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ จนเกิดเหตุชุลมุนขึ้น หลังมีสาวโพสต์เฟซบุ๊กระบุพ่อตนเองถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทำร้ายร่างกาย
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวแจ้งว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ มุเมี๊ยว รู้สึกเหมือนกันไหม ได้โพสต์ภาพอ้างว่าบิดาของตนถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้เชียงดาวทำร้ายร่างกาย และยิงปืนขู่ โดยระบุว่า “ขอความเป็นธรรมด้วยค่ะ เมื่อวันที่2/5/63 เวลาประมาณ11นาฬิกา กรมป่าไม้ เชียงดาวแต่งกายนอกเครื่องแบบพร้อมอาวุติ เข้าทำร้ายร่างกายพ่อของฉันและมีการ ยิงปืนขู่ในขณะที่พ่อของฉันกำลังทำไร่ เหตุเกิด ณ บ้านฟ้าสวย(ดอยหลวงเชียงดาว) หมู่ 10 อ.เชียงดาว ต.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ *ถ้าชาวบ้านไม่ได้เข้าช่วยไว้ป่านนี้พ่อฉันคงเจ็บหนักกว่านี้ ขอให้ออกมารับผิดชอบกับการกระทำของคุณและลูกน้องคุณด้วยค่ะ #กรรมป่าไม่เชียงดาว # ฝากแชร์ด้วยค่ะ ”
ล่าสุดจากกรณีที่เกิดขึ้น ทางด้านกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เข้าตรวจสอบพื้นที่ หลังพลเมืองดีแจ้งมีการบุกรุกถางป่าใหม่ เมื่อเจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าตรวจสอบเกิดเหตุชุลมุน ทำให้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 2 ราย โดยนายเกรียงศักดิ์ ถนอมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ของวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 นายประกาศิต ระวิวรรณ แจ้งว่าคณะพนักงานเจ้าหน้าที่สายตรวจส่วนกลางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว นำโดยนายลัญจกร สุขสวัสดิ์ นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ ผู้ช่วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว และเจ้าหน้าที่รวมจำนวน 8 นายได้ร่วมกันออกตรวจปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้และสัตว์ป่า ตามที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีแจ้งว่ามีกลุ่มบุคคลเข้าไปบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่า (ถางป่าใหม่) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวบริเวณป่าบ้านฟ้าสวย หมู่ที่ 10 ตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
เมื่อเจ้าหน้าที่ข้างต้นเดินทางมาที่เกิดเหตุได้พบกับบุคคล จำนวน 4 คน เป็นชายวัยกลางคนจำนวน 3 คน เด็กเล็กจำนวน 1 คน กำลังบุกรุกแผ้วถางป่าอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยบุคคลทั้ง 4 คน ได้อยู่ห่างกันประมาณ 20 เมตร คณะพนักงานเจ้าหน้าที่แบ่งออกเป็น 3 ชุด และเข้าแสดงตัวว่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อขอตรวจสอบและเข้าจับกุมบุคคลทั้ง 4 คน
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้แสดงตัวว่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ชาย 1 ในนั้นได้นำจอบที่ถืออยู่ฟาดไปยังบริเวณศอกขวาของนายสงกรานต์ จักรษุ พนักงานเจ้าหน้าที่ชุดที่ 1 จึงได้ทำการจับกุมชายคนที่ 1 เมื่อชายคนที่ 2 คนที่ 3 เห็นว่าชายคนที่ 1 ถูกจับกุม จึงได้เข้าไปช่วยชายคนที่ 1 ระหว่างนั้นเกิดการเหตุชุลมุนกับคณะพนักงานเจ้าหน้าที่
ต่อมาเมื่อเหตุการณ์สงบลงพบว่า มีเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 นาย คือ นายสงกรานต์ จักษุ และชาวบ้านอีกจำนวน 1 ราย (ชายคนที่ 1) จากนั้นได้มีชาวบ้านบ้านฟ้าสวย และชาวบ้านบ้านนาเลาใหม่ ประมาณ 20 คน ได้เข้ามายังพื้นที่เกิดเหตุ ทำให้เกิดเหตุชุลมุนอีกครั้ง เจ้าหน้าที่เกรงว่าสถานการณ์จะบานปลาย จึงพากันออกมาจากพื้นที่เกิดเหตุเพื่อความปลอดภัย และต้องนำตัวนายสงกรานต์ จักษุ ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งนายสงกรานต์ จักษุ ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเชียงดาว และอยู่ระหว่างแพทย์รักษาตัว คณะพนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งประสานให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเชียงดาว มารับตัวชาวบ้านผู้บาดเจ็บมารักษาตัวต่อไป
ล่าสุดหลังจากที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติ ได้ชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าวนั้น ทางผู้โพสต์คนดังกล่าวซึ่งเป็นลูกสาวของชายคนที่ถูกทำร้ายร่างกาย ได้โพสต์ชี้แจงอีกครั้งโดยระบุว่า “แจ้งเรื่องราวเพิ่มเติมนะคะ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ พ่อก้มหน้าทำงานอยู่ละมีป่าไม้มาเรียกว่าลุง พอพ่อเงยหน้าขึ้นป่าไม้ใช้ปลายปืนตีเข้าหัวพ่อ และล้มแขนโดนตอไม้เสียบได้รับบาดเจ็บ(แต่ป่าไม้ไปแจ้งความว่าพ่อเอาจอบตี) พอป่าไม้ล้มพ่อเลยคิดจะวิ่ง(โดนด้ามปืนขนาดนี้คงหวังฆ่าเพราะคิดว่าพ่อมาคนเดียว เป็นใครก็คงวิ่งอ่ะนะ) เเต่ยังไม่ทันวิ่งพ่อเกิดหน้ามืดจากการถูกตีหัว และล้มลงแต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ที่เหลือรุมทำร้ายในขณะที่ล้มลงไปเจ้าหน้าที่บางคนขี่หลังตีพ่อตะรุมบอนพ่อ พี่ชายกับน้องชายมาเห็นวิ่งเข้าไปจะช่วยพ่อแต่ยังไม่ทันถึงถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไว้ทั้งสองคน น้องชายคนเล็กอายู 8 ขวบ เห็นเลยวิ่งเข้าไปบอกแม่ที่กำลังใส่ปุ๋ยและเลี้ยงหลาน 2 ขวบอยู่ แม่ได้ยินเสียงปืน ใจคอไม่ดีได้ฟังจากน้องว่าพ่อโดนตีเลือดไหล แม่เลยโทรขอความช่วยเหลือจากอาที่อยู่ในหมู่บ้าน สักพักคนในหมู่บ้านมาช่วยพ่อตามในรูป แต่คนในหมู่บ้านไม่ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่นะคะ เจ้าหน้าที่เห็นว่าคนเริ่มมาเยอะจึงรีบกลับไปแจ้งความก่อนพ่อค่ะ#ขอความเป็นธรรมให้พ่อด้วยนะคะ”
ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามต่อไปเรื่องนี้จะมีข้อสรุปอย่างไร