กล้องอัจฉริยะ AI จับไม่สวมหมวกกันน็อก วันแรกจับแล้ว 100 กว่าราย เผยสถิติช่วงค่ำคืนพบมากสุด ย้ำเอาจริงตรวจจับ 24 ชม. ขอผู้ขับขี่มีวินัยเริ่มจากตัวเอง

6371

จราจรเชียงใหม่เผยสถิติวันแรกของการเริ่มใช้ระบบกล้องอัจฉริยะ AI ตรวจจับผู้กระทำไม่สวมหมวกนิรภัยในพื้นที่ 5 อำเภอ รอยต่อเมืองเชียงใหม่ จับแล้ว 100 กว่าราย เผยสถิติช่วงค่ำคืนมากสุด ย้ำเอาจริงตรวจจับ 24 ชม. ขอผู้ขับขี่มีวินัยเริ่มจากตัวเอง

วันที่ 16 ธ.ค. 63 รายงานข่าวแจ้งว่า จากกรณีการดำเนินการเริ่มใช้โครงการกล้องอัจฉริยะ AI เพื่อตรวจจับผู้กระทำความผิดไม่เคารพกฎจราจร โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ที่ได้มีการดำเนินการเป็นวันแรกเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.63) เป็นวันแรก ภายหลังจากที่ได้มีการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนให้กับประชาชนทราบมาแล้วระยะหนึ่ง โดยหากกล้องมีการตรวจจับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย ระบบจะมีการพิมพ์ใบสั่งอัตโนมัติเพื่อส่งไปยังเจ้าของรถ และจะต้องชำระค่าปรับสำหรับผู้ที่ไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ 400 บาท และโดยสารรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับ 800 บาท ตามที่มีการนำเสนอข้อมูลไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น

ล่าสุดในวันนี้ ทางด้าน ...ศุภชัย จันทรา รองผู้กำกับการกลุ่มงานจราจร ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินการโครงการที่ผ่านมา 1 วันว่า การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นการต่อยอดเดิมของสมาร์ทซิตี้ ที่รับนโยบายจากผู้บังคับบัญชาในการนำเทคโนโลยีเข้ามาตรวจสอบสภาพการจราจร การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดในส่วนของยานพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอันดับสูงสุดคือรถจักรยานยนต์ และความรุนแรงอันดับต้นๆ ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็คือการไม่สวมใส่หมวกนิรภัยขณะขับขี่ โดยในส่วนของโครงการใช้กล้อง AI จะครอบคลุม 5 อำเภอที่มีสถิติอุบัติเหตุสูง ประกอบด้วย .แม่ริม , สารภี , หาดง , สันทราย ที่เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่าง .เมือง ที่มักเกิดอุบัติ และพบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนสูงกว่ากลางวัน รวมทั้งข้อด้อยในการตรวจสอบผู้กระทำความผิดที่ไม่สวมหมวกนิรภัยก็จะมีปัญหาในช่วงเวลากลางคืนเช่นเดียวกัน แต่ในส่วนของการพัฒนาระบบ AI กล้องอัจฉริยะ จะสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ก็จะทำงานร่วมกันกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องลักษณะบูรณาการร่วมกัน โดยมีการติดตั้งระบบมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา และมีการทดลองปรับระบบ ประชาสัมพันธ์ ให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความปลอดภัย

ในส่วนของข้อดีของการใช้กล้องระบบ AI คือ การสร้างวินัยจราจรที่เริ่มจากตัวผู้ขับขี่ โดยวิธีการทำงานคือ เมื่อมีการตรวจจับผู้กระทำความผิดได้ภาพที่ปรากฏมาแล้ว ระบบก็จะเชื่อมโยงกับระบบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากนั้นจะมีการออกใบสั่งไปที่ผู้ครอบครองรถหรือผู้กระทำความผิด แต่ก็มีประเด็นโซเชียลที่ตั้งข้อสงสัยว่า หากมีการปกปิดแผ่นป้ายทะเบียนจะเป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนนี้จะเข้าข่ายการกระทำความผิดโดยซึ่งหน้า เนื่องจากการไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนต่างๆ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถบังคับใช้กฎหมายการกระทำความผิดซึ่งหน้าอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้มีความผิดเพิ่มในส่วนของผู้กระทำความผิดในการที่จะปิดบังซ่อนล้น จึงอยากขอความร่วมมือว่าให้สวมหมวกนิรภัย เพื่อไม่ให้มีการตรวจจับและที่สำคัญคือการลดความรุนแรง ลดการสูญเสีย

ซึ่งในส่วนของเทคโนโลยีกล้องตรวจจับ AI นั้นจะมีระบบเซนเซอร์ที่ใช้ตรวจจับหมวกนิรภัยเป็นหลัก โดยในการทดสอบ ทดลองจากช่างเทคนิค และพัฒนาระบบมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การตรวจจับนั้นมีความแม่นยำ 98 เปอร์เซ็นต์ และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เพื่อตรวจวัน เวลา และสถานที่ รวมไปถึงหมายเลขทะเบียนรถ เพื่อลดข้อโต้แย้ง กรณีผู้ขับขี่ถูกตรวจจับที่สามารถมาขอตรวจสอบได้ ซึ่งจากข้อมูลของทาง สอจร. มีรายงานจุดเสี่ยงต่างๆ ทั้งหมดครอบคลุมทั้งสิ้น 16 จุด ในพื้นที่ .เมือง, แม่ริม, สารภี, สันทราย และหางดง ทั้ง 5 อำเภอ ครอบคลุมทั้งหมด และกล้องดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้อยู่ที่เดิม หากพบว่าจุดใดที่เป็นจุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อยก็สามารถขยับไปติดตั้งตรงจุดอื่นๆ เพื่อที่จะมุ่งเน้นในส่วนของการป้องกันอุบัติเหตุ และลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุได้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการใช้ระบบดังกล่าวเมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.63) ซึ่งเป็นวันแรกในช่วงเช้าพบว่ามีผู้กระทำความผิดประมาณ 20 กว่าราย ซึ่งถือว่าน้อยมาก จากสถิติของปริมาณรถที่เข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ที่ค่อนข้างมาก และในส่วนของช่วงกลางคืนถือว่ายังสูง เนื่องจากพบผู้กระทำความผิดประมาณ 100 กว่าราย จึงอยากขอความร่วมมือว่าในช่วงเวลากลางคืนผู้ใช้รถใช้ถนนควรมีการสวมหมวกนิรภัย และมีวินัยต่อตัวเอง ซึ่งในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการประเมินอีกครั้งว่าปริมาณของผู้กระทำความผิด และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง

blank