7 มิ.ย. 66 – ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “หนานกานต์ สงกรานต์ แสงกาบแก้ว” ได้โพสต์แชร์เรื่องราวพิษของกิ้งกือ พร้อมระบุข้อความว่า “เตือนกันนะครับ เฝ้าระวังลูกๆหลานๆ ตวยเน้อช่วงนี้ มันนักนา กิ้งกือมีพิษเน้อครับ”
โดยเรื่องราวที่เจ้าตัวโพสต์ เกิดขึ้นกับหลวงพี่ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านรีบใส่รองเท้าไม่ทันได้สังเกตุว่าด้านในรองเท้ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เมื่อผ่านไปสักพัก หลวงพี่เริ่มมีอาการแสบร้อน ปวดที่นิ้วเท้า จึงได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนพบว่ามีกิ้งกืออยู่ในรองเท้า จากนั้นจึงรีบไปโรงพยาบาล โดยหมอแจ้งเกิดจากการโดนพิษของกิ้งกือ
ทั้งนี้ กรมการแพทย์ เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พิษของกิ้งกือ ระบุว่า “กิ้งกือ” ไม่กัด แต่มีพิษ บางสายพันธุ์มีต่อมพิษตลอด 2 ข้างลำตัว ฉีดสารพิษได้ไกลมีฤทธิ์ทำผิวหนังไหม้ หากเข้าตาจะเกิดการระคายเคืองได้ ให้รีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ช่วงที่มีฝนตกบ่อย อาจพบเห็นกิ้งกือในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่อยู่อาศัย สวนสาธารณะ จึงขอให้คำแนะนำแก่ประชาชนว่ากิ้งกือไม่ใช่สัตว์อันตราย ไม่กัด แต่มีพิษหากสัมผัสถูกตัว สารพิษของกิ้งกือจะถูกปล่อยออกมาจากบริเวณข้างลำตัว มีฤทธิ์ฆ่าสัตว์เล็ก ๆ เช่น มด แมลง และหากคนสัมผัสจะทำให้เกิดการอักเสบเป็นผื่นแดง หรือทำให้ตาระคายเคืองในกรณีถูกพิษกิ้งกือเข้าตา
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กิ้งกือบางสายพันธุ์เท่านั้นที่จะมีต่อมพิษอยู่ตลอดสองข้างลำตัวสามารถฉีดสารพิษพุ่งออกไปได้ไกล สารพิษมีลักษณะเป็นของเหลวใสไม่มีสี ประกอบด้วยสารกลุ่มไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide) ฟีนอล (Phenol) กลุ่มเบนโซควินิน และไฮโดรควิโนน (Benzoquinones/hydroquinones) มีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังไหม้ แผลไหม้ มีอาการปวด 2-3 วัน รวมทั้งการระคายเคืองร่วมด้วย ทั้งนี้ หากถูกพิษของกิ้งกือให้ล้างด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาด ทายาแก้อักเสบ โดยทั่วไปอาการมักจะหายภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากพิษเข้าตาอาจทำให้ตาอักเสบ ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดและรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที เพื่อป้องกันการอักเสบของตาที่อาจเพิ่มมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูล/ภาพ : เฟซบุ๊ก หนานกานต์ สงกรานต์ แสงกาบแก้ว / กรมการแพทย์