สถานการณ์ “ไวรัสปอดอักเสบอู่ฮั่น” ในเชียงใหม่
วันที่ 25 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงาน จากกรณีสถานการณ์ของโรคปอดอักเสบ จากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการแถลงข่าวอัปเดตสถานการณ์ล่าสุด โดยจังหวัดเชียงใหม่ พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคทั้งหมด 6 รายด้วยกัน โดยข้อมูลล่าสุด ณ เวลา 16.50 น. (25 ม.ค. 63) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันผลจากการตรวจสอบโรคแล้วว่าทั้ง 6 ราย ไม่พบเชื้อโคโรนาไวรัสแต่อย่างใด
ในส่วนการเตรียมความพร้อมของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ (EOC) กรณีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (nCOV-2019) จากเมืองอู่ฮั่นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและจัดระบบแนวทางปฏิบัติ ในกรณีที่มีการพบผู้สงสัยหรือผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น หรือมีการประกาศพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่ม และการบริหารจัดการทรัพยากร เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการเฝ้าระวังค้นหาผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (nCOV-2019) จากเมืองอู่ฮั่น โดยเน้นการคัดกรอง ณ ช่องทางเข้าออกประเทศที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เพิ่มการเฝ้าระวังที่โรงพยาบาลของและโรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านขายยา ทุกแห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ หากพบผู้ป่วยสงสัยจะดำเนินการส่งต่ออย่างปลอดภัย เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยในห้องแยกความดันลบในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมและมีมาตรฐาน
สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ และนักท่องเที่ยว ขอให้มั่นใจในระบบการเฝ้าระวังคัดกรอง ป้องกันและควบคุมโรคปอดอักเสบจากเชื้อโคโรนาไวรัสของประเทศไทย และจังหวัดเชียงใหม่ที่จะสามารถทำการเฝ้าระวัง และคัดกรอง กลุ่มเสี่ยงจากเมืองอู่ฮั่น ที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ทุกคน รวมทั้งการคัดกรองผู้ป่วยที่มีอาการไข้ ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ และมีประวัติการเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ณ โรงพยาบาลของรัฐ และโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ทุกแห่ง หากพบผู้ป่วยสงสัยจะดำเนินการส่งต่ออย่างปลอดภัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ กลุ่มงานควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ โทร.053-211048-50 ต่อ 110
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้ขอความร่วมมือจากการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ในการสนับสนุนการจัดห้องแยกสำหรับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคที่ได้มาตรฐาน สะดวก ปลอดภัย และคัดกรองนักท่องเที่ยวด้วยเครื่อง Thermo scan เพิ่มขึ้น โดยแจ้งข้อสั่งการจากส่วนกลางให้คัดกรองนักท่องเที่ยวทุกสายการบินที่เดินทางมาจากเมืองกวางโจว ประเทศจีน รวมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของการท่าอากาศยานเชียงใหม่ รับทราบมาตรการทำความสะอาดพื้นที่ภายในท่าอากาศยานเชียงใหม่ การกำจัดขยะที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้จัดทำ Roll up คำแนะนำด้านสุขภาพ สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย (Health Beware Information) มอบให้แก่การท่าอากาศยานเชียงใหม่ เพื่อติดตั้งประชาสัมพันธ์ให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งทางการท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ตอบรับและพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
โดยจังหวัดเชียงใหม่นั้น ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมามากเป็นอันดับต้นๆของประเทศ และมีเที่ยวบินตรงจากเมืองอู่ฮั่นจำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์(ปัจจุบันมีการยกเลิกเที่ยวบินไว้ก่อนแล้ว) ซึ่งทางด้านของผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ (ระหว่างวันที่ 20 มกราคม ถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563) ไม่มีเที่ยวบินพิเศษแบบเช่าเหมาลำ แต่มีสายการบินขอทำการบินเพิ่ม 3 สายการบิน ได้แก่ สายการบินไชน่าอีสเทิร์น ในเส้นทาง หนานหนิง-เชียงใหม่-หนานหนิง จำนวน 18 เที่ยวบิน และเส้นทาง เซี่ยงไฮ้-เชียงใหม่-เซี่ยงไฮ้ จำนวน 42 เที่ยวบิน สายการบินไชน่าเซาท์เทิร์น เส้นทาง กวางโจว-เชียงใหม่-กวางโจว จำนวน 46 เที่ยวบิน และสายการบินไทยแอร์เอเชีย เส้นทาง เฉิงตู-เชียงใหม่-เฉิงตู จำนวน 18 เที่ยวบิน รวมทั้งสิ้น 124 เที่ยวบิน ซึ่งเมื่อรวมกับเที่ยวบินที่ทำการบินปกติแล้ว จำนวนเที่ยวบินในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนของปี 2562 ประมาณร้อยละ 9.4 แต่จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 1.8 ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผู้โดยสารชาวจีนเฉลี่ยวันละประมาณ 6,000 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงปกติประมาณวันละ 1,000 คน และจากข้อมูลของด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานเชียงใหม่ พบว่าในปี 2562 มีผู้โดยสารชาวจีนผ่านเข้าออกช่องทางท่าอากาศยานเชียงใหม่กว่า 1.78 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีผู้โดยสารชาวจีนผ่านเข้าออกช่องทางท่าอากาศยานเชียงใหม่ 1.69 ล้านคน