7 ต้นไม้ฟอกอากาศ ปลูกในบ้านก็ได้ ปลูกไว้ในออฟฟิศก็ดี ??
.
แอดมินขอแนะนำต้นไม้ที่นักพ ฤกษศาสตร์ยืนยันว่าสามารถปล ูกไว้ในบ้าน บนโต๊ะทำงาน แม้กระทั่งเอาวางไว้ในห้องน อนได้ มีต้นอะไรบ้าง ไป..ดู..กัน.. ?
.
1. งาช้างบอลเซล
ไม้อวบน้ำ สูงเต็มที่ได้ถึง 50 เซ็นติเมตร ทนแล้งได้ดีมาก ๆ ฟอกอากาศ ดูดสารพิษ จัดการกลิ่นอับได้ดี และมีผลการวิจัยจากสถาบันนา ซ่า ว่าปรับและควบคุมบรรยากาศภา ยในกระสวยอวกาศได้ดี ลดสารอันตราย ปล่อยออกซิเจนออกมาในช่วงกล างคืน และคายน้ำเพื่อความความชุ่ม ชื้น ทำให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย
.
2. ลิ้นมังกร
เป็นอีกพันธุ์ที่องค์การนาซ ่ายอมรับว่า ช่วยฟอกอากาศได้ดี มีการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด ์ และคายออกซิเจนออกมาในเวลาก ลางคืน ยังเป็นไม้มงคลตามตำราไทยโบ ราณ เชื่อว่าป้องภัยร้าย ไม่ให้งูเข้าบ้าน จึงนิยมปลูกไว้ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือข้างโต๊ะทำงาน
.
3. ว่านหางจระเข้
เป็นพืชล้มลุกมีใบอวบน้ำ ช่วยดูดซับสารเคมีตกค้าง และฟอกอากาศภายในบ้าน โดยเฉพาะสารเคมีในกลุ่ม สีทาบ้าน น้ำยาทาเล็บ และสารเคลือบเครื่องเรือน ซึ่งมีผลเสียต่อดวงตา ผิวหนัง และระบบการหายใจ จึงช่วยทำให้มั่นใจได้ว่า อากาศที่หายใจเข้าไปบริสุทธ ิ์และปลอดภัยอย่างแน่นอน
.
4. ยางอินเดีย
นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภ ายในบ้าน อาคาร และห้องนอนด้วยเช่นกัน โดยเจ้าต้นยางอินเดียนี้ จะช่วยฟอกอากาศ ดูดซับสารพิษได้ดี และคายความชื้น มอบความชุ่มชื่น เพิ่มความเขียวสด ทำให้บรรยากาศดูสดใสมีชีวิต ชีวา อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่ปลู กง่าย ดูแลไม่ยาก
.
5. เศรษฐีเรือนใน
ช่วยขจัดสารพิษจำพวกสารฟอร์ มาลดิไฮด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งทาง เดินหายใจ แนะนำให้ปลูกสำหรับบ้านเสร็ จใหม่ ๆ จะช่วยฟอกอากาศ กำจัดเชื้อรา และเก็บกวาดสารก่อภูมิแพ้ แต่ต้นไม้ชนิดนี้มีพิษกับแม ว
.
6. พลูด่าง
เป็นไม้เลื้อยที่มีคุณสมบัต ิดูดสารพิษโดยเฉพาะสารแอมโม เนีย ที่มีมากในห้องน้ำ และบริเวณเครื่องถ่ายเอกสาร พลูด่างปลูกง่าย โตไว ไม่ค่อยชอบแดด จึงมักถูกจับใส่กระถาง แจกัน หรือจัดเป็นสวนลอยฟ้า แขวนในห้องน้ำ ห้องรับแขก และโต๊ะทำงาน
.
7. เดหลี
เป็นไม้พุ่มเตี้ยที่ปลูกได้ ทั้งกลางแจ้งและในตัวอาคาร มีดอกคล้ายดอกหน้าวัว การกำจัดสารพิษ โดยเฉพาะสารคาร์บอนไดออกไซด ์
.
ถึงตรงนี้คงเลือกต้นไม้ที่เ หมาะกับคุณได้แล้ว ช่วยกันปลูกห้องละ 1 – 2 ต้น นอกจากช่วยดูดซับสารอันตราย แล้วยังสร้างบรรยากาศที่ดีใ นบ้านและที่ทำงานอย่างแน่นอ น… ?
ที่มา เพจกระทรวงอุตสาหกรรม