สช. เตรียมเสนอขอผ่อนผัน ให้โรงเรียนนานาชาติเปิดเรียน 1 มิ.ย. นี้ เผยมีปัจจัยความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับมาตรการการป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 ดร.อรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กำลังจัดเตรียมข้อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่อการพิจารณาทบทวนการเปิดภาคเรียนของโรงเรียนเอกชน ประเภทนานาชาติ
โดยกล่าวว่า ปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 216 แห่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2552 เป็นเท่าตัว และการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาตินั้น มีการจัดการเรียนการสอนแตกต่างกันไปตามหลักสูตรของแต่ละที่ โดยแบ่งเป็นแบบ เปิดสอน 2 ภาคเรียน จำนวน 81 แห่ง และเปิดสอน 3 ภาคเรียน จำนวน 135 แห่ง จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมาโรงเรียนนานาชาติได้รับความนิยมมากขึ้น และมีแนวโน้มในการขยายสู่ภูมิภาคมากขึ้นด้วย
และการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาตินั้น จะมีการเปิดภาคเรียนที่ 1 อยู่ในช่วงเดือน พฤษภาคม – เดือน มิถุนายน จำนวน 11 แห่ง เป็นภาคเรียนที่ 3 จำนวน 201 แห่ง ส่วนในเดือนมิถุนายนนั้น จะเป็นเดือนสุดท้ายของปีการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติจำนวน 201 แห่ง และเดือนกรกฎาคมนั้น จะเป็นเดือนของการปิดภาคเรียน จำนวน 197 แห่ง
ดังนั้น หากการเปิดภาคเรียนตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการในวันที่ 1 กรกฎาคมนั้น อาจทำให้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับโรงเรียนนานาชาติ จึงเป็นสาเหตุของการขอผ่อนผันให้โรงเรียนนานาชาติสามารถทำการเปิดเรียนได้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน อีกทั้งโรงเรียนนานาชาตินั้น มีปัจจัยความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับมาตรการการป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ดังนี้
- มีปัจจัยที่เอื้อต่อความปลอดภัย นักเรียนต่อห้อง 20-25 คน (ส่วนใหญ่ 10-20คน) มีพื้นที่โรงเรียนกว้าง มีห้องเรียน/ห้องกิจกรรม เพียงพอ มีจำนวนครูและบุคลากรต่อนักเรียน เฉลี่ย 1:10 (อนุบาล 1:7) ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ ผู้ปกครองมีศักยภาพและมีความพร้อมสูงในการป้องกันโรค โรงเรียนมีที่ตั้งในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว นอกจากนี้นักเรียนต่างชาติของโรงเรียนนานาชาติทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้พำนักอยู่เดิมในไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ได้ อีกทั้งโรงเรียนนานาชาติมีระบบสอน online อยู่แล้ว ทำให้นักเรียนจำเป็นต้องเข้ามาในโรงเรียนช่วงสั้นๆ ทำให้สามารถติดตามนักเรียนได้ง่ายในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพ
- เพื่อลดผลกระทบทางธุรกิจและสังคม เนื่องจากในเดือนมิถุนายนจะเป็นเดือนสุดท้ายของปีการศึกษาโรงเรียนนานาชาติทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ใช้หลักสูตรเดียวกันทำให้จำเป็นต้องปรับช่วงเวลาให้ตรงกับหลักสูตรของต่างประเทศด้วย และผู้ปกครองไม่ยอมรับการสอนแบบ online ตลอดภาค เรียนแต่ต้องการแบบผสมผสาน (hybrid) ทำให้ผู้ปกครองชะลอการจ่ายค่าธรรมเนียมการเรียน จนทำให้เกิดการฟ้องร้องขอเงินค่าธรรมเนียมการเรียนคืน และมีการร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ภาพ-ข้อมูล : ประชาสัมพันธ์ สช.