หัวอกคนเป็นแม่ ใจแทบสลายลูกสาวกำลังมาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ประสบอุบัติเหตุอาการโคม่า แทบหมดอนาคต

24135
อุบัติเหตุเชียงใหม่

(มีคลิป) หัวอกคนเป็นแม่ ใจแทบสลายลูกสาวกำลังมาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ประสบอุบัติเหตุอาการโคม่า แทบหมดอนาคต เสียเงินค่ารักษาหลายแสนบาท ทางบ้านฐานะยากจน วอนสังคมและคู่กรณีเห็นใจช่วยเหลือ

วันที่ 6 ก.ค.63 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางพิลัยพร แสนศรีเชาว์พันธ์ อายุ 39 ปี ชาว ต.ป่ากลาง อ.ปัว จ.น่าน มารดาของ น.ส.อรจิรา แสนศรีเชาว์พันธ์ หรือน้องอร อายุ 19 ปี ซึ่งได้มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ขณะระหว่างมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้เพียง 2 วันได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.63 ที่ผ่านมา ที่บริเวณถนนสายเชียงใหม่-พร้าว ซึ่งเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ ได้มีรถยนต์เก๋งฟอร์ดสีดำ ชนรถจักรยานยนต์จนล้ม แล้วได้ถูกรถกระบะที่ขับตามมาอีกคันทับจนเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการโคม่า ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลเทพปัญญา และต่อมาได้ถูกส่งตัวมารักษาอาการต่อที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ในเวลาต่อมา ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงไปเกือบ 300,000 บาท และล่าสุดเจ้าตัวยังต้องรักษาตัวและยังอยู่ในอาการโคม่า แม้จะรู้สึกตัวแต่ทางแพทย์ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายในอยู่ ประกอบกับทางผู้ปกครองต้องมาดูแลตลอดตั้งแต่ทราบเรื่อง จนขณะนี้ทำให้ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องค่าใช้จ่าย และในส่วนของคดีก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทางคู่กรณีแต่อย่างใด ทำให้ทางญาติและผู้ปกครองต้องขอความเห็นใจและความช่วยเหลือ เนื่องจากครอบครัวก็มีฐานะยากจนจึงไม่รู้ว่าจะนำเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกด้วย

ทั้งนี้ทางด้าน นางพิลัยพร แสนศรีเชาว์พันธ์ อายุ 39 ปี มารดาของ น้องอร เปิดเผยว่า ขณะนี้อาการของลูกสาวยังคงอยู่ในอาการโคม่า ซึ่งจากการสอบถามทางหมอบอกว่าลูกสาวมีกระดูกหักและแตกหลายจุดทั้งบริเวณต้นคอและสันหลัง รวมไปถึงช่วงล่างของน้องตอนนี้ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย โดยขณะนี้น้องฟื้นแล้วแต่ยังคงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และในส่วนของค่าใช้จ่ายนั้นก่อนหน้านี้ได้มีการเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเทพปัญญา ซึ่งขณะนั้นได้เข้ารักษาตัวแบบฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง มีค่ารักษาและค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 200,000 กว่าบาท ซึ่งตนกับครอบครัวได้แจ้งกับทางโรงพยาบาลเนื่องจากมีฐานะยากจนไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่ารักษาได้ทันที จึงได้มีการส่งตัวน้องเพื่อย้ายมาโรงพยาบาลของรัฐ และใช้สิทธิ์บัตรทอง แต่ทางหมอก็แจ้งว่าอาจจะมีค่าส่วนต่างในการรักษาพยาบาลอยู่ ขณะที่ในส่วนของทางคู่กรณีนั้นหลังเกิดเหตุวันแรกที่ตนมาถึงตอนเช้าทั้งวันพบว่าไม่มีคู่กรณีมาเยี่ยมหาเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งต้องโทรหาฝั่งนั้น ซึ่งในเรื่องของคดีใครผิด ใครถูกก็ค่อยว่ากัน แต่อยากให้มาดูแล เยียวยาช่วยเหลือลูกสาวของตนบ้าง เนื่องจากทางครอบครัวหลังจากทราบเรื่องก็พากันมาดูแลน้องก็ได้รับความเดือดร้อนอยู่แล้ว โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ทางด้านคู่กรณีที่ขับรถเก๋ง ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมและได้นำอาหาร นม และขนมมาให้ ส่วนทางคู่กรณีที่เป็นรถกระบะนั้นก็ได้มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 1,000 บาท

อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุการณ์นี้กับทางลูกสาวก็ทำให้ตนและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนแทบทุกอย่าง เพราะตนกับสามีก็ไม่มีเงินที่จะมาดูแล อีกทั้งมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำงานอะไร จึงทำให้ไม่มีเงิน ประกอบกับต้องกินต้องใช้ และเงินในส่วนที่จะต้องนำมารักษาลูกสาวต่ออีกซึ่งเป็นเงินที่อาจจะเป็นส่วนต่างในการรักษา เนื่องจากปัจจุบันตนกับสามีก็มีอาชีพเพียงรับจ้างกรีดยางตามสวนยางใน จ.น่าน โดยทางบ้านก็ยากจน มีลูกที่ต้องเลี้ยงดูหลายคน และขณะเดียวกันในตอนนี้หลังจากที่มารดาของตนทราบเรื่องว่าลูกสาว ซึ่งเป็นหลานสาว ประสบอุบัติเหตุก็ทำให้ล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลไปอีกคน ซึ่งในส่วนของ “น้องอร” นั้นได้เรียนจบมัธยมและมาเตรียมเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เรียนก็กลับต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน โดยลูกสาวของตนมีความใฝ่ฝันว่าโตมาอยากจะเป็นครู และที่ผ่านมาลูกสาวคนนี้ก็ถือเป็นเสาหลักของบ้านในการช่วยเหลือครอบครัวแทบทุกอย่าง และ “น้องอร” ก็ยังเป็นเด็กดี ชอบเข้าร่วมกิจกรรม มีความกตัญญู ขยันทำงาน แต่จากเหตุการณ์นี้อาจทำให้น้องต้องหมดอนาคตสูญเสียความฝันที่ตั้งใจไว้ เพราะโอกาสที่น้องจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากทางหมอวินิจฉัยว่าน้องมีอาการกระดูกสันหลังหัก และไปทับเส้นประสาทช่วงล่างไม่สามารถขยับได้และไม่มีความรู้สึกทำให้น้องมีความเสี่ยงที่อาจจะพิการได้ ขณะที่ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อจากนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องเสียอีกเท่าไหร่ และน้องก็ยังอยู่ในอาการโคม่า ซึ่งคาดว่าก็น่าจะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกหลายเท่าตัวหลังจากนี้และในอนาคตด้วย และในตอนนี้จากการที่ตนกับสามีต้องเดินทางมาดูแลลูกสาวก็ทำให้ไม่สามารถทำงานได้ และต้องมาขอพักอาศัยอยู่กับญาติห่างๆ ที่เห็นใจและให้ความช่วยเหลือ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่อีกนานแค่ไหนด้วย

นางพิลัยพร มารดาของ “น้องอร” กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตามตนรู้สึกเสียใจมากหลังจากที่ทราบว่าน้องประสบอุบัติเหตุ หัวอกคนเป็นแม่อยากจะตายแทนลูก อยากจะบาดเจ็บแทนลูก และเมื่อมาเห็นอาการของลูกสาวยิ่งทำให้แม่เศร้าใจ และอยากให้คู่กรณีมาช่วยดูแลด้วย ถึงแม้ว่าใครจะผิดหรือใครจะถูกก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้เพียงอยากให้มาช่วยเหลือเยี่ยวยาหรือช่วยเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวของตนด้วย เพราะตนก็ต้องเดินทางมาดูแลน้องทุกวัน ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือจากทางญาติที่ให้ที่พักอาศัย ซึ่งตนก็ต้องมารอที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ซึ่งหากไม่ถึงเวลาเข้าเยี่ยมก็ต้องมานั่งเฝ้าจนถึงเวลาเยี่ยม และหากหมดเวลาเยี่ยมก็ต้องมานั่งรอจนกว่าญาติจะมารับกลับ ตนจึงของความเป็นใจในสิ่งที่พูดไปและสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ด้วย

ส่วนก่อนหน้านี้ทางน้าของ “น้องอร” ก็ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว และได้มีการขอรับบริจาคช่วยเหลือผ่านบัญชีธนาคารของ “น้องอร” หมายเลขบัญชี 670-0-96233-1 ธนาคารกรุงไทย ชื่อ น.ส.อรจิรา แสนศรีเชาว์พันธ์ นั้น ล่าสุดมียอดเงินบริจาคทั้งสิ้นประมาณ 120,000-130,000 บาท ซึ่งเงินที่ได้รับมานั้นตนกับครอบครัวก็ไม่ได้นำไปใช้จ่ายส่วนตัวแต่อย่างใด และเป็นเงินที่จะนำมาใช้รักษาลูกสาว ซึ่งตอนนี้น้องยังคงพักรักษาตัวที่ตึก 10 ชั้น 5 ของโรงพยาบาลนครพิงค์ ซึ่งหากผู้ใดเห็นใจให้ความช่วยเหลือหรืออยากจะมีเยี่ยมก็สามารถติดต่อกับตนได้โดยตรงที่หมายเลขโทรศัพท์ 098-810-4603 นางพิลัยพร

อรจิรา แสนศรีเชาว์พันธ์

อรจิรา แสนศรีเชาว์พันธ์

อุบัติเหตุเชียงใหม่

พิลัยพร แสนศรีเชาว์พันธ์