(มีคลิป Video) กลุ่มคนนำสุนัข “น้องโบโบ้-บีบี” ของวัดผาลาดไปดูแล เข้าพบตำรวจแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยันไม่มีเจตนาขโมยหลังถูกกระแสสังคมต่อว่าโจมตีจนเสียหายหนัก

5076

(มีคลิป Video) กลุ่มคนนำสุนัข “น้องโบโบ้-บีบี” ของวัดผาลาดไปดูแล เข้าพบตำรวจแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยันไม่มีเจตนาขโมยหลังถูกกระแสสังคมต่อว่าโจมตีจนเสียหายหนัก

เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 7 ก.ค.63 รายงานข่าวแจ้งว่า ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ..เสาวลักษณ์ ขันทอง อายุ 24 ปี พร้อมด้วย ..สาวิตรี ขันทอง อายุ 24 ปี , นายอนุวัฒน์ สุธรรมน้อย อายุ 25 ปี , ..ปรียาภรณ์ ศรีบานเรือง อายุ 17 ปี และ นายประเสริฐ แซ่ท้าว อายุ 24 ปี ได้เดินทางเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อนำหลักฐานมาขอลงบันทึกประจำวัน และชี้แจงกับสื่อมวลชนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ภายหลังจากที่ตกเป็นข่าวถูกกระแสโซเชียล และสังคมวิพากษ์วิจารณ์ ต่อว่าและโจมตี จากกรณีที่กลุ่มบุคคลทั้งหมดได้นำสุนัขชื่อว่า “น้องโบโบ้-บีบี” พันธุ์เฟรนช์บูลด็อก อายุ 2 ขวบกว่า ที่เจอข้างถนนบริเวณใกล้กับวัดผาลาดทางขึ้นดอยสุเทพ แล้วได้นำไปเลี้ยง แต่ต่อมามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความลงในโซเชียล ว่าเป็นกลุ่มคนที่ขโมยสุนัขทั้ง 2 ตัวไป อีกทั้งมีการต่อว่าการกระทำในเชิงเสียหาย และต่อมาได้มีการนำเสนอข่าวออกไปจนทั้งหมดได้รับผลกระทบ ทั้งที่ทั้งหมดยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะขโมยหรือนำสุนัขทั้ง 2 ตัวไปอย่างพลการ และยังมีการโพสต์ประกาศตามหาเจ้าของแล้วหลังจากที่ได้มีการนำสุนัขไปเลี้ยงไว้

 

โดยทาง ..เสาวลักษณ์ ขันทอง อายุ 24 ปี เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นตนได้พบกับสุนัขดังกล่าวซึ่งสุนัขทั้ง 2 ตัวไม่ได้อยู่ที่บริเวณวัด และอยู่ข้างนอกโดยที่ไม่ได้มีปลอกคอตามที่ปรากฏในข่าวไปแต่อย่างใด ประกอบกับที่ว่ามีการถ่ายรูปแล้วนำสุนัขทั้ง 2 ขึ้นรถไปนั้นไม่ใช่ความจริง ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นก่อนหน้าที่ตนจะมาเจอสุนัขดังกล่าวได้มีรถมอเตอร์ไซค์เจอก่อน แล้วคนที่มาเจอสุนัขอีกคนก็คือ ..ปรียาภรณ์ จากนั้นตนได้เป็นคนอาสาเอาสุนัขทั้ง 2 ตัวไปเลี้ยงเอง แต่กลับต้องมาถูกสังคมต่อว่า ซึ่งความตั้งใจจริงของตนที่ได้นำสุนัขไปนั้นเพื่อเอาไปเลี้ยงไว้ เนื่องจากว่าเห็นสุนัขไม่มีปลอกคอ และตนเป็นห่วงกลัวว่าหากปล่อยทิ้งไว้สุนัขอาจจะถูกรถชน เพราะตนก็เป็นคนที่รักสุนัขอยู่แล้ว และคิดว่าสุนัขไม่มีเจ้าของ เพราะเห็นว่าไม่มีปลอกคอ แต่ต่อมามีการนำเรื่องไปลงสื่อบอกว่าสุนัขนั้นมีปลอกคอรวมทั้งระบุว่าได้มีการขโมยสุนัขไปจากวัดนั้นก็ไม่ใช่ความจริง เพราะเจตนาของตนคือมีความเป็นห่วงว่าสุนัขอาจจะเกิดอันตราย

ขณะเดียวกันหลังจากที่มีการนำเสนอข่าวออกไปนั้นก็ทำให้ตนได้รับความเสียหายมาก เพราะถูกหลายๆ คนต่อว่า แต่เพื่อนที่รู้จักกับตนก็ส่งข้อความมาให้กำลังใจ รวมไปถึงบางคนก็เข้าใจและให้กำลังใจ อย่างไรก็ตามตนอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดความกระจ่างว่าความจริงเป็นอย่างไร ตนจึงได้เดินทางมาขอลงบันทึกประจำวันเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและตนก็จะไม่ยอมให้ถูกต่อว่าทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความผิด ขณะเดียวกันจากเรื่องที่เกิดขึ้นตนก็ได้มีการพูดคุยกับทางลุงเจ้าของโพสต์ที่ตนถูกนำไปเผยแพร่บนโซเชียล และได้มีการนัดให้มาเจอกัน แต่ทางฝั่งนั้นก็บอกว่าไม่มา และบอกกับตนเพียงว่า “ไปธุระ มีธุระ” และเห็นว่าทางเจ้าตัวได้มีการโพสต์ลงเฟสว่าเรื่องราวดังกล่าวจบแล้ว ส่วนกรณีที่ทำให้ตนเสียหายนั้นก็คือเรื่องที่ทางฝั่งนั้นได้ไปโพสต์ว่าตนไปขโมยหมาจากวัด ซึ่งมีข้อความที่รุนแรง ซึ่งทางตนก็ได้มีการสอบถามไป แต่ทางฝั่งนั้นกลับบอกว่าไม่ได้ด่า และบอกอีกว่ามีข้อความไหน ก็ให้ไปฟ้องได้เลย แต่ตนก็คิดว่าไม่อยากให้เรื่องราวมันบานปลายและไม่คิดจะเอาเรื่องอะไร และก็ยืนยันว่าจะไม่ติดใจเอาความหรือดำเนินคดีกับใคร แต่เพียงแค่อยากมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองเท่านั้น

ขณะที่ทางด้าน ..ปรียาภรณ์ ศรีบานเรือง อายุ 17 ปี ซึ่งเป็นอีกคนที่ถูกกล่าวหา เปิดเผยว่า ความจริงจุดที่ตนและกลุ่มคนทั้งหมดพบเจอสุนัขทั้ง 2 ตัวไม่ได้อยู่ที่วัดผาลาด และห่างจากวัดไปประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะเดียวกันในเฟซบุ๊กของตนก็ยังมีคนมาต่อว่าอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากทางฝั่งลุงเจ้าของโพสต์ระบุว่าตนกับกลุ่มคนทั้งหมดได้ขโมยสุนัขไป ประกอบกับในสื่อบางแห่งก็ให้ข้อมูลผิด ระบุว่ามีผู้หญิง 4 คน แต่จริงๆ มีแค่ 3 คน และตนก็ไม่ได้อุ้มสุนัขมาเล่น และไม่ได้แตะต้องสุนัขแต่อย่างใด รวมไปถึงสุนัขก็ไม่มีปลอกคอด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนของตนนั้นก็อยากเรียกร้องความเป็นธรรมมากกว่าและไม่ได้ติดใจเอาความ แต่อยากให้เรื่องราวทั้งหมดเกิดความกระจ่างและอยากให้แก้ข่าวว่าเราไม่ได้เป็นคนขโมย และอยากให้อีกฝั่งออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทางกลุ่มคนทั้งหมดได้เดินทางเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ และได้มีการแสดงหลักฐานทั้งหมดแล้วนั้น ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้คำแนะนำ และแจ้งกับกลุ่มคนทั้งหมดให้เดินทางไปติดต่อเรื่องที่ สภ.ภูพิงราชนิเวศน์ เนื่องจากเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบที่เกิดเหตุ ซึ่งต่อมาทั้งหมดก็ได้เดินทางเพื่อเข้าไปติดต่อขอลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ในการแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว