หัวอกคนเป็นพ่อ! หนุ่มนักธุรกิจจีน ติดป้ายรูปลูกชายวัย 4 ขวบ บนรถปิคอัพแห่ ประกาศตามหาตัวทั่วเมืองเชียงใหม่ หลังเมียหอบลูกหนีไร้ร่องรอยกว่า 2 เดือนแล้ว แฉเมียเมินคำสั่งศาลที่ให้สิทธิปกครองบุตรคนละครึ่ง ซ้ำยังเรียกค่าเลี้ยงดูสูงถึง 21 ล้าน!
หัวอกคนเป็นพ่อ! หนุ่มนักธุรกิจชาวจีน หอบป้ายไวนิลรูปลูกชายวัย 4 ขวบ ติดรอบรถแห่ทั่วเมืองเชียงใหม่ ก่อนขึ้นลานข่วงประตูท่าแพ ประกาศตามหาลูก หลังเมียโดยชอบด้วยกฎหมายหอบลูกหนี ไม่ยอมให้พบหน้าพ่อจนเวลาล่วงเลยมาร่วม 2 เดือนแล้ว ซ้ำยังเรียกค่าเลี้ยงดูอีกเดือนละ 1 แสน รวมกว่า 21 ล้าน เผยที่ผ่านมาเลี้ยงดูครอบครัวเป็นอย่างดี หมดเงินไปแล้วมหาศาล ครวญเป็นห่วงลูก คิดถึงใจจะขาด ขอพึ่งศาลช่วย จนศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้พบกันครึ่งทาง มอบสิทธิ์สองฝ่ายได้อำนาจปกครองบุตร แต่ฝ่ายหญิงทำมึนไม่เคารพคำสั่งศาล ล่องหนไม่ยอมติดต่อใดๆ ทำให้เด็กขาดโรงเรียนเป็นเดือนแล้ว หวั่นกระทบกับคุณภาพชีวิตลูก และความสัมพันธ์กับพ่อห่างเหินไปเรื่อยๆ ล่าสุดขอสื่อมวลชนช่วยเป็นกระบอกเสียงตีแผ่เรื่องราวความทุกข์ เพื่อขอความเป็นธรรมด้วย ลั่นจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลูกกลับคืนมา
สืบเนื่องจาก นายเจี่ยง เชาว์ นักธุรกิจชาวจีนที่ประกอบธุรกิจและพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เคยไปประท้วง เรียกร้องสิทธิ์ความเป็นพ่อในสถานที่ต่างๆ ทั่วเมืองเชียงใหม่ ภายหลังจากที่ น.ส.พิช (นามสมมุติ) ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายพาเด็กชายเจ (นามสมมติ) ลูกชายวัย 4 ขวบหลบหนีไม่ยอมให้พบหน้าพ่อ ต่อมาฝ่ายหญิงได้มีการยื่นฟ้องหย่าและขอสิทธิปกครองลูกเพียงฝ่ายเดียว ส่วน นายเจี่ยง เชาว์ ได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งนั้น
ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเรื่องอำนาจปกครองบุตร โดยศาลกำชับให้คู่ความทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่งศาล โดยศาลกำหนดให้ “วันจันทร์ถึงศุกร์ ฝ่ายหญิงสามารถกำหนดที่อยู่ของบุตรและฝ่ายชายสามารถไปอยู่ร่วมกับฝ่ายหญิงและบุตรได้ ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์ ฝ่ายชายเป็นผู้กำหนดที่อยู่ของบุตร และฝ่ายหญิงสามารถอยู่ร่วมกับบุตรและฝ่ายชายได้” ศาลกำชับให้ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา โดยศาล มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวนี้ในกระบวนพิจารณาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ก่อนจะนัดไกล่เกลี่ย และนัดสืบพยานอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2563
หลังจากพิจารณาคดีปรากฏว่า น.ส.พิช (นามสมมุติ) กีดกันไม่ให้ผู้เป็นพ่อได้พบเจอลูกตั้งแต่วันแรก พอถึงวันเสาร์อาทิตย์ ก็ไม่ยอมพาลูกมาหาพ่อ ซ้ำตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่พาลูกไปโรงเรียน ไม่ยอมบอกที่อยู่ให้ไปเจอ แม้แต่วิดีโอคอลคุยกับลูกก็ถูกกีดกัน โทรศัพท์หาก็ไม่รับสาย เมื่อฝ่ายชายพยายามขอคนกลางช่วยเจรจาหลายครั้งก็ไม่เป็นผล เพราะฝ่ายหญิงหาเหตุผลต่างๆ ไม่ให้พบ เคยแจ้งความตำรวจแล้วก็ไม่ช่วยติดตามให้ ต่อมานายเจี่ยง เชาว์ จึงออกติดตามหาลูก เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองและลูก โดยเขาเห็นว่าลูกควรได้รับความรักจากทั้งพ่อและแม่
นายเจี่ยง เชาว์ เปิดเผยว่า ภรรยาของตนคือ น.ส.พิช (นามสมมุติ) อาศัยอยู่ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายกับตน และมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กชายเจ (นามสมมุติ) วัย 4 ขวบ ต่อมาได้เกิดปัญหาขึ้นเมื่อ น.ส.พิช (นามสมมุติ) พาลูกหนีออกจากบ้าน ต่อมาฝ่ายหญิงได้ยื่นฟ้องหย่ากับตนเพื่อเรียกร้องค่าเลี้ยงดู และสิทธิในการครอบครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว โดยที่ฝ่ายตนไม่ได้มีเจตนาหย่าแต่อย่างใด ซึ่งฝ่ายหญิงเรียกร้องค่าเลี้ยงดูลูกมาเป็นจำนวนเงินที่สูงมากคือ 100,000 บาทต่อเดือน จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ หรือเรียนจบ ป.ตรี หรือจนกว่าจะหารายได้ด้วยตนเอง รวมเป็นเงินราว 21.6 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ตนก็พร้อมหย่าและชำระค่าเลี้ยงดูลูกตามสมควร ส่วนอำนาจปกครองบุตรต้องแบ่งกันเลี้ยงดู
“ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ศาลได้ไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าในระหว่างดำเนินคดีให้ทั้งฝ่ายตนและฝ่ายหญิงปกครองบุตรร่วมกัน ซึ่งให้สิทธิ์แม่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี และให้สิทธิ์พ่อวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ ซึ่งศาลไม่สามารถให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือสิทธิในการปกครองบุตรแต่เพียงฝ่ายเดียวตามที่ฝ่ายหญิงเรียกร้องได้
ศาลจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในเรื่องอำนาจปกครองบุตรในกระบวนพิจารณาว่าฝ่ายหญิงมีอำนาจกำหนดที่อยู่ของบุตรในวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนฝ่ายชายสามารถมาอยู่ร่วมกับฝ่ายหญิงและบุตรได้ โดยวันเสาร์อาทิตย์ฝ่ายชายมีอำนาจกำหนดที่อยู่ของบุตร และฝ่ายหญิงสามารถมาอยู่ร่วมกับฝ่ายชายและบุตรได้ ซึ่งข้อความตรงนี้กำหนดชัดเจนสิทธิ์ของทั้งสองฝ่ายไว้อยู่แล้ว และให้ใช้คำสั่งชั่วคราวนี้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งคำสั่งดังกล่าวนั้นตนเห็นว่าศาลมีเจตนารมณ์ที่จะต้องการให้ทั้งสองฝ่ายพยายามอยู่ด้วยกันและแก้ไขปัญหาครอบครัว ลูกควรมีทั้งพ่อและแม่”
นายเจี่ยง เชาว์ กล่าวอีกว่า นับแต่ศาลมีคำสั่งเป็นต้นมา ปรากฏว่าฝ่ายภรรยาตนไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเลย มีการพาลูกลูกหนีไม่ให้ตนได้พบแม้แต่ครั้งเดียว และไม่ยอมพาลูกไปโรงเรียน ตนยังสงสัยว่าคำสั่งศาลจะมีความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อย่างไร คำสั่งดังกล่าวจะคุ้มครองตนได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นคนต่างชาติ ทุกวันนี้เครียดมาก หาทางออกไม่ได้ไม่รู้จะทำยังไง ตัวคนเดียว ภาษาไทยก็พูดไม่ได้ ทำได้เพียงว่าจ้างล่ามมาเป็นตัวช่วยในการสื่อสารทำให้ปัญหาเริ่มคลี่คลายลงมาได้บ้าง
“อยากให้ผู้พบเห็นช่วยแจ้งเบาะแสเรื่องลูกของตนด้วย ที่ผ่านมาได้ตระเวนไปแถวบ้านพี่สาวของฝ่ายหญิงบ้าง บ้านพ่อของฝ่ายหญิงบ้าง ร้านอาหารของฝ่ายหญิงบ้าง และบ้านเพื่อนสนิทของฝ่ายหญิงที่พอจะมีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายหญิงจะไปขออาศัยอยู่ด้วย และไปแปะป้ายประกาศตามหาลูก ครั้งแรกที่ไปตามหาได้มีตำรวจเข้ามาห้าม และถูกญาติฝ่ายหญิงแจ้งความข้อหาก่อกวนบ้าง ซึ่งตอนนั้นหนังสือคำสั่งที่ออกจากศาลยังไม่สมบูรณ์ ก็เลยไม่มีหลักฐานที่จะชี้แจงให้กับตำรวจ แต่หลังจากได้หนังสือจากศาลมาตำรวจก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเนื่องจากเป็นเรื่องของครอบครัว
บางครั้งตนก็ปักหลักจอดรถนอนรอหน้าบ้านพี่สาวของฝ่ายหญิงซึ่งคิดว่าลูกจะต้องอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ หลังจากนั้นก็เริ่มมีนักข่าวมาทำข่าว และออกสื่อต่างๆ ด้วย”
นายเจี่ยง เชาว์ กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้ยังเฝ้ารอวันที่จะได้พบลูกชายด้วยความคิดถึง ร้องไห้นอนไม่หลับ พ่อของตนซึ่งเป็นคุณปู่ก็ไม่สบายรอพบเจอกับหลานชาย การกระทำของฝ่ายหญิงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ตนรู้สึกว่าถูกรังแก เพราะเป็นชาวต่างชาติ
“และสิ่งที่แย่ที่สุดคือช่วงเวลาร่วม 2 เดือนที่ผ่านมา ฝ่ายหญิงได้สั่งสอนลูกให้รู้สึกเกลียดพ่อกลัวพ่อ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากอารมณ์และกริยาของลูกเวลาเจอพ่อหลังจากไม่ได้เจอนาน ประโยคแรกที่ลูกพูดขึ้นมาคือ ไม่อยากไปจีน กลัวป่ะป๊า ตั้งแต่ลูกตั้งครรภ์จนคลอด ค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ตนเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่าง รวมถึงค่าเลี้ยงดูลูกและภรรยา เป็นเงินจำนวนมาก เฉลี่ยเดือนละแสนกว่าบาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่ารักษาพยาบาล ค่าเช่าบ้าน ค่าซื้อยานพาหนะ ให้ภรรยาใช้ส่วนตัว ฯลฯ รวมจ่ายไปแล้วหลายล้านบาท” นายเจี่ยง เชาว์ กล่าว
เมื่อการตามหาลูกยังไม่เป็นผล นายเจี่ยง เชาว์ ก็ยังไม่ละความพยายาม ล่าสุดเมื่อวันที่ผ่านมา นายเจี่ยง เชาว์ ได้นำป้ายไวนิลรูปลูกชายวัย 4 ขวบ ติดรอบรถแห่ไปทั่วเมืองเชียงใหม่ ก่อนจะขึ้นไปบนลานข่วงประตูท่าแพ เพื่อประกาศตามหาลูกอีกครั้ง ซึ่งที่เลือกมาที่ประตูท่าแพก็เพราะมีประชาชน และนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน มีความหวังว่าจะสอบถามจากผู้คนที่เดินไปมาว่าพบเห็นลูกของเขาหรือไม่ เพราะอยากเจอหน้าลูกมาก โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มีสื่อมวลชนไปร่วมทำข่าวจำนวนมาก โดยนายเจี่ยง เชาว์ได้ขอร้องให้สื่อมวลชนช่วยเป็นกระบอกเสียงตีแผ่เรื่องราวความทุกข์ เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับเขาด้วย พร้อมยืนยันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลูกกลับคืนมา