หมอสวนดอก “ไขข้อข้องใจ ตอบทุกข้อสงสัยวัคซีนโควิด-19”
วัคซีนโควิด-19 ที่ดีที่สุดคืออะไร? ใช่ที่จะฉีดในตอนนี้หรือไม่?
ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดแรก เป็นชนิดเชื้อตาย หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อยี่ห้อ “ซิโนแวค” (Sinovac) อีกชนิดหนึ่งคือชนิดเชื้อเป็นที่ไม่แบ่งตัวแล้ว ซึ่งเป็นวัคซีนของ “แอสตร้าเซนเนก้า” (Astra zenegra) เมื่อมีคำถามว่าวัคซีนตัวไหนดีที่สุด ณ ขณะนี้ คำตอบคือวัคซีนที่มีอยู่และฉีดได้เร็วที่สุด ก็คือวัคซีนที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเราได้รับวัคซีนเข้าไปแล้วจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นในร่างกาย แม้จะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะป้องกันโรคได้ทุกระดับความรุนแรง แต่อย่างน้อยก็สามารถป้องกันอาการของโรคที่รุนแรงมากให้ทุเลาลงได้ ลดการเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล และที่สำคัญจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้อย่างแน่นอน ซึ่งวัคซีนเกือบทั้งหมดทุกยี่ห้อที่มีตามท้องตลาดตอนนี้ก็มีประสิทธิภาพไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
วัคซีนทุกตัวที่มีอยู่ในประเทศขณะนี้ อยากให้มั่นใจว่ามีมาตรฐานที่ดี โดยวัคซีนก่อนที่จะนำมาใช้โดยทั่วไปจะต้องผ่านการรับรองหลายขั้นตอน อย่างน้อยทางองค์การอนามัยโลกต้องรับรองคุณภาพ และประสิทธิภาพ ทางองค์การอาหารและยา ก็ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างมั่นใจจึงจะนำมาให้ประชาชนฉีดได้ ซึ่งวัคซีนทั้ง 2 ยี่ห้อ (ซิโนแวค , แอสตร้าเซนเนก้า) ก็ผ่านเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ เรียบร้อยแล้ว
เตรียมตัวอย่างไร ก่อน-หลังฉีดวัคซีนฯ และอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น
หลักของการเตรียมตัวก่อนมาฉีดวัคซีนคือ พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นปกติ ไม่ควรเครียด หรือวิตกกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในการฉีดวัคซีน เมื่อถึงวันนัดหมายฉีดวัคซีน ให้ดื่มน้ำในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หากรู้สึกไม่สบายอยู่ในขณะนั้นสามารถที่จะเลื่อนวันนัดไปก่อน รอให้ร่างกายแข็งแรง แล้วค่อยมารับวัคซีนได้
ในขณะที่มารับวัคซีน หากมีประวัติการแพ้ เช่น แพ้วัคซีนชนิดอื่น แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้อากาศ หรือเป็นภูมิแพ้ ควรแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการการฉีดวัคซีน เพราะทางเจ้าหน้าที่จะได้บันทึกประวัติ และให้การติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
ภายหลังจากฉีดวัคซีน สถานพยาบาลทุกโรงพยาบาลจะให้นั่งพัก ณ จุดสังเกตอาการ ใกล้จุดฉีดวัคซีนประมาณ 30 นาที โดยจะได้ดูปฏิกิริยาการแพ้ชนิดรุนแรงหรืออาการข้างเคียงหรือที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้การปฐมพยาบาล ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมได้ทันท่วงที
สำหรับสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยขณะนี้ ฉีดไปแล้วประมาณ 2.3 ล้านโดส จากสถิติการเกิดปฏิกิริยาข้างเคียง พบว่าร้อยละ 89.2 ไม่มีปฏิกิริยาข้างเคียงแต่อย่างใด มีเพียงร้อยละ 10.8 เท่านั้น ที่มีรายงานว่ามีปฏิกิริยาข้างเคียงบ้างแต่อาการไม่รุนแรง เช่น อาการปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดบวมแดงร้อนบริเวณที่ฉีดซึ่งอาการเหล่านี้ถือเป็นปกติ เช่นเดียวกับเมื่อได้รับวัคซีนอื่นๆ ส่วนปฏิกิริยาข้างเคียงที่รุนแรงที่ได้รับความสนใจ หรืออยากรู้ว่าปฏิกิริยาที่ได้รับเยอะแค่ไหน ที่ผ่านการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณวุฒิจากกระทรวงฯ จาก 12 ล้านโดส จะพบใน 14 ราย คิดเป็น 7 เปอร์เซ็นต์ ต่อล้านคน หรือ 6.5 ในล้านโดส ปฏิกิริยาข้างเคียงแพ้ชนิดรุนแรง พบได้ 0.5 เปอร์เซ็นต์ต่อล้านโดส คือมีอาการชา ซึ่งทุกรายทั้ง 14 ราย สามารถรักษาหายได้หมด ไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว
บุคคลกลุ่มที่ควรจะได้รับวัคซีนโควิด-19 คือใคร
คนไทยทุกคนที่ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีนควรที่จะได้รับวัคซีน แต่เนื่องจากช่วงแรกประเทศไทยได้รับการจัดสรรวัคซีนในปริมาณที่จำกัด จึงต้องมีการเรียงลำดับความสำคัญในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนกลุ่มต่างๆ โดยในระยะแรกเน้นไปที่บุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ด่านหน้า” หรือเจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขที่ต้องทำงานสัมผัสกับผู้ป่วยโควิด กลุ่มต่อมาคือผู้สูงอายุเกิน 60 ปีและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค จากนั้นเมื่อมีการจัดหาวัคซีนได้มากขึ้นภายในประเทศก็จะเร่งจัดสรรฉีดให้แก่ประชาชนทั่วไป ที่ไม่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงต่อไป
ข้อห้ามฉีดวัคซีนมีข้อเดียว คือแพ้วัคซีน
ข้อห้ามของการฉีดวัคซีนโควิด-19 มีเพียงข้อเดียวก็คือ แพ้วัคซีน ในที่นี้ต้องแยกจากคำว่าปฏิกิริยาข้างเคียง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หลังการฉีดวัคซีน ขึ้นกับว่ารุนแรงหรือไม่ แต่อาการแพ้วัคซีน เราเรียกว่าเป็นอาการแพ้ ซึ่งสามารถแพ้ได้ทั้งตัววัคซีนเอง หรือว่าสารที่เป็นส่วนประกอบที่อยู่ในวัคซีน ซึ่งแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่แตกต่างกัน
ในบางคนจะมีคำถามว่าแพ้อาหาร แพ้ยา หรือว่าแพ้สารทึบรังสี สามารถจะฉีดวัคซีนได้ไหม คำตอบก็คือ ไม่เกี่ยวข้องกัน หมายถึงว่าแพ้อาหาร แพ้ยา แพ้สารทึบรังสี เป็นการแพ้ชนิดนั้นๆ แต่หากว่าสารที่แพ้นั้นเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในวัคซีนก็จะต้องระวัง หากไม่ใช่ส่วนประกอบหรือตัวเนื้อวัคซีนเอง ส่วนมากจะไม่มีการแพ้ยาข้ามกลุ่ม เพราะฉะนั้นควร
ลองเช็คประวัติตัวเองว่าแพ้อะไร
อย่างไรก็ตามที่จุดบริการฉีดวัคซีน จะมีจุดซักประวัติอยู่แล้ว ผู้รับการฉีดวัคซีนต้องบอกรายละเอียดว่าเคยแพ้อะไรหรือไม่ และควรจะให้ประวัติโดยละเอียดแก่ทางเจ้าหน้าที่ เพื่อจะได้เตรียมการเฝ้าระวัง และติดตามอาการข้างเคียงหลังจากการฉีดวัคซีนได้อย่างเหมาะสมในแต่ละคน
เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือไม่
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตามข้อมูลหลักฐานทางการแพทย์ วัคซีนที่มีอยู่ในประเทศไทย 2 ยี่ห้อ (ทั้ง Sinovac และ Astra zenegra) ได้รับการรับรองให้ใช้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป หากอายุต่ำกว่า 18 ปี ก็ไม่ได้มีข้อห้ามฉีด เพียงแต่ว่ายังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่มากพอในการรองรับเรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพเท่านั้น ขณะนี้หลายประเทศได้เร่งดำเนินการวิจัยในกลุ่มเด็ก สำหรับวัคซีนบางยี่ห้อ คือให้ฉีดตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป บางยี่ห้ออายุ 6 ปีขึ้นไป ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ข้อมูลในส่วนนี้ถูกเผยแพร่หรือว่าตีพิมพ์ออกมาแล้วเป็นหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือก็จะมีการประกาศรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้เด็กส่วนใหญ่จะติดไวรัสโควิด-19 มาจากผู้ใหญ่รอบข้าง หากผู้ใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนก็จะเหมือนเป็นเกราะให้กับเด็กไปด้วยเปรียบเสมือนเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ในบ้านด้วย
เชื้อโควิดสายพันธุ์ไหน แรงกว่ากัน
เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็มีลักษณะที่ต่างกัน สายพันธุ์อังกฤษเป็นที่ทราบกันดีว่าจะติดง่ายมาก และอาการค่อนข้างรุนแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามวัคซีนที่ผลิตออกมาในรุ่นที่ 1 ยังใช้ได้ผลอยู่ คือมีภูมิคุ้มกันที่ข้ามไปป้องกันสายพันธุ์นี้ได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับสายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วงขณะนี้ คือสายพันธุ์แอฟริกา และสายพันธุ์บราซิล ซึ่งวัคซีนในรุ่นที่ 1 ที่ได้รับการฉีดกันทั่วโลกไปแล้วไม่สามารถที่จะข้ามไปป้องกันการกลายพันธุ์ของทั้งสองสายพันธุ์นั้นได้ดีมากนัก จึงเป็นที่มาว่าขณะนี้แต่ละบริษัทที่ผลิตวัคซีนกำลังเตรียมผลิตวัคซีนในรุ่นที่ 2 ออกมาซึ่งจะสามารถใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ข้ามไปป้องกันสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์สองสายพันธุ์ดังกล่าวได้ ตรงนี้เป็นข้อมูลล่าสุด แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีวัคซีนตัวไหนที่นำออกมาจำหน่าย ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย
ข้อมูลจาก: รศ.ดร.พญ.ทวิติยา สุจริตรักษ์ อาจารย์ประจำสาขาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยความปรารถนาดีจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ลิ้งค์บทความ :https://www.facebook.com/medcmuth/posts/4073380112700314