สาระน่ารู้ “วัคซีนโควิด-19 กับอาการความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นภายหลังฉีดวัคซีน” โดย อ.นพ.กิตติ เทียนขาว อาจารย์หน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“วัคซีนโควิด-19 กับอาการทางระบบประสาท” โดย อ.นพ.กิตติ เทียนขาว อาจารย์หน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
+++อาการความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้นภายหลังฉีดวัคซีน+++
ในความเป็นจริงการฉีดวัคซีน แล้วส่งผลกระทบต่อระบบประสาท มีมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะวัคซีนโควิด-19 หรือว่าวัคซีนยี่ห้อ Sinovac ที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจกันขณะนี้ มีรายงานการเกิดอาการผิดปกติทางระบบประสาทหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อ Sinovac เกิดขึ้นจริง หากย้อนกลับไปดูข้อมูลทางการแพทย์ของวัคซีนที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ อย่างเช่นการศึกษาของ Brazil ได้รายงานว่ามีประชากรอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีอุบัติการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบอุดตันชั่วคราว อยู่ที่ประมาณ 1-2 ราย ต่อ 6,000 รายที่ได้รับวัคซีน
+++พบบ่อยแค่ไหนในประชากรไทย+++
เมื่อกลับมาสังเกตอาการจากการฉีดวัคซีนในกลุ่มประชากรไทย จากข้อมูลเบื้องต้นจากทางศูนย์ต่างฯทั้งหมดในประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พ.ค. 2564) พบว่าในคนไทยหลังการฉีดวัคซีนก็มีอุบัติการณ์การเกิดประมาณ 0.3 เปอร์เซ็นต์ คือจะเกิดขึ้นประมาณ 3 ราย ใน1,000 ราย
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการ แล้วนำผู้ป่วยมาตรวจเพิ่มเติม ทั้งตอนที่มีอาการ และตอนที่หลังจากเกิดอาการไปแล้ว น้อยมากที่มีความผิดปกติ ส่วนใหญ่ตรวจพบว่าเป็นปกติ ดังนั้นจึงสงสัยว่ากลไกการเกิดอาจไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันที่เป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาต เหมือนในผู้สูงอายุที่เป็นกัน
สำหรับอาการของความผิดปกติทางระบบประสาทที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดปกติเรื่องการรับความรู้สึกหรือว่าเป็นอาการชาเป็นหลัก พบได้ประมาณ 60 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ซึ่งอาการชาเหล่านี้ จะพบได้บริเวณที่ใบหน้า มุมปาก หรือชาครึ่งซีกตามแขน ขา รองลงมาจะมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ เช่นปวดศีรษะ อาการอ่อนแรง หรือว่ามีส่วนน้อยที่พบคือมีอาการมองเห็นผิดปกติ ส่วนใหญ่ที่พบจะเกิดกับในผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิง มีช่วงอายุประมาณ 20 ถึง 50 ปี ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเท่าที่สังเกตมาอยู่ในช่วงประมาณ 6 ชั่วโมงแรกหลังฉีดวัคซีน อาจมีบางรายที่เกิดขึ้นได้ภายในช่วง 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน ส่วนใหญ่ที่เกิดมักจะหายได้เอง และค่อยๆดีขึ้น อาจจะใช้เวลา 1 ถึง 3 วัน หรือว่าในบางรายอาจจะนานเป็นสัปดาห์และส่วนใหญ่มักจะกลับมาเป็นปกติได้
+++การปฎิบัติตัวก่อนรับวัคซีน+++
ควรจะพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ หลังรับวัคซีนในช่วงแรกจะทำตามมาตรฐาน คือสังเกตอาการภายใน 30 นาที เพื่อสังเกตอาการว่ามีอาการแพ้รุนแรงที่จะเกิดขึ้นในระยะแรกไหม หลังฉีดไปแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง หรือ 1 วันก็ยังต้องสังเกตอาการความผิดปกติเหล่านี้อยู่ หากเกิดอาการผิดปกติ แนะนำให้มาพบแพทย์เพื่อที่ประเมินอาการ
+++แนวทางการรักษาและการพยากรณ์โรค+++
จะแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีอาการน้อยและกลุ่มที่มีอาการมาก โดยส่วนใหญ่มักจะมีอาการน้อย แบบมีอาการชาแบบไม่เฉพาะเจาะจง หรือมีอาการอาการปวดศีรษะแบบทั่วไปที่มักจะหายได้เองภายใน 72 ชั่วโมง โดยจะทำการรักษากลุ่มนี้ตามอาการมากกว่า
สำหรับอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีนแล้วมีหลายอาการพร้อมกัน เช่น มีทั้งอาการชา อ่อนแรง ปวดศีรษะรุนแรง อาจจะต้องมีการประเมินอย่างละเอียด การตรวจเพิ่มเติมด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อดูรอยโรคว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบจริงหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการวางแผนให้วัคซีน
+++สำหรับวัคซีนเข็มที่ 2++++
แพทย์จะทำการตรวจอาการของผู้ป่วยเป็นหลักว่าผู้ป่วยที่เกิดอาการผิดปกติทางระบบประสาทนั้นเป็นกลุ่มไหน ในกลุ่มที่ไม่รุนแรงให้ยึดตามคำแนะนำของสมาคมวิชาชีพ ที่เราใช้ในปัจจุบัน ก็คือสมาคมโรคหลอดเลือดสมองไทยและสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย แนะนำว่ากลุ่มนี้สามารถให้วัคซีนเข็มที่ 2 ได้ แต่หากเป็นอีกกลุ่มหนึ่งต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมให้แน่ชัดว่า สาเหตุของการเกิดอาการนั้น เกิดจากสาเหตุอะไรและผู้ป่วยควรได้รับวัคซีนอย่างเหมาะสมหรือไหม ซึ่งถ้ามีอาการอ่อนแรงค่อนข้างมาก ตามคำแนะนำของสมาคมฯ ยังให้แนะนำเลี่ยงเข็มที่ 2 ไปก่อน
การให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวเพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด ในบางรายงานพบว่าโรคโควิด-19 เอง สามารถเป็นผลทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้นเมื่อเทียบตัวเลขของการเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทภายหลังการฉีดวัคซีน ที่มีข้อมูลอยู่ ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 0.2 ถึง 0.3 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขก็ยังค่อนข้างน้อยกว่าการเกิดโรคสมอง จากโรคโควิด -19 ตรงนี้จะเป็นข้อมูลที่สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจว่าเราสามารถรับวัคซีนตัวไหนได้
ติดตามได้ที่ : https://fb.watch/5JrPD9neGi/
ที่มา : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ลิ้งค์บทความ : https://www.facebook.com/medcmuth/posts/4079248328780159