แฉพฤติกรรมอดีต ผจก.สาว ตระเวนยืมเงินเพื่อนร่วมงาน-เพื่อนเรียนปริญญาโท 38 คน ก่อนหนีหนี้กว่า 1.2 ล้านบาท เพื่อนๆ ออกตามหา เผยให้โอกาสกลับมาเจรจาก่อนดำเนินคดี
วันนี้ (29 ส.ค.64) รายงานข่าวแจ้งว่า ได้มีกลุ่มผู้เสียหายที่มีทั้งกลุ่มพนักงานบริษัท นักศึกษาปริญญาโท นำหลักฐานเป็นบันทึกการสนทนาและสลิปโอนเงินเข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน ขอเป็นสื่อกลางช่วยประกาศติดตามหา น.ส. มิ้น ( ขอสงวนชื่อนามสกุล ) อดีตผู้จัดการสาวของบริษัทเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงใหม่ ที่ตระเวนขอยืมเงินจากเพื่อน ๆ และคนรู้จักรวมกว่า 38 คน แต่กลับไม่ใช้คืนและหายตัวไปนานกว่า 2 สัปดาห์
โดยทาง ตัวแทนผู้เสียหาย ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้หญิงสาวคนดังกล่าวที่มีอายุ 29 ปี เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงใหม่ และ เป็นนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยชื่อดัง ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ขอยืมเงินเพื่อนร่วมบริษัทไปหลายคนคนละหลักพันถึงหลักหมื่น อ้างว่าจำเป็นต้องใช้เงินเนื่องจากบิดาติดหนี้นอกระบบจนถูกกดดันตามทวงหนี้อย่างหนัก ด้วยความเห็นใจเพื่อนร่วมงานจึงให้ยืมเงินไป แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาที่ตกลงกันไว้กลับไม่ใช้เงินคืน อ้างว่ายังไม่มีเงินจ่ายคืน
ต่อมากลุ่มผู้เสียหายมีการพูดคุยกันจนทราบภายหลังว่า นอกจากเพื่อนร่วมงานในบริษัท ยังมีเพื่อนเรียนปริญญาโท เพื่อนสมัยเรียนมัธยมและปริญญาตรี รวมทั้งเพื่อนแถวบ้านที่อำเภอสันกำแพง จ.เชียงใหม่ ถูกยืมเงินไปอีกจำนวนมาก รวม 39 คน เป็นเงินทั้งหมด 1,255,210 บาท แต่ละคนถูกยืมเงินหลายข้ออ้าง ทั้ง พ่อป่วย พ่อติดหนี้นอกระบบจนถึงกดดันจากแก๊งทวงหนี้ และ ทั้งหมดไม่ได้เงินคืน เมื่อติดตามทวงถามก็ถูกบ่ายเบี่ยงขอผัดผ่อนไม่มีกำหนดเวลา กระทั่งล่าสุดทางบริษัทได้ประกาศให้ น.ส.มิ้น พ้นสภาพพนักงานเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากเกรงว่าปัญหาทางการเงินจะส่งผลกระทบต่อบริษัท และ น.ส.มิ้น ได้หายตัวไปติดต่อไม่ได้ทุกช่องทางตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งการยืมเงินจำนวนมากที่เกิดขึ้นไม่มีใครรู้ว่านำเงินไปทำอะไร
ขณะที่หนึ่งในตัวแทนผู้เสียหาย บอกว่า ผู้เสียหายหลายคนนำเงินเก็บที่มีอยู่ไม่มากให้ยืมไปเพราะความสงสารเห็นใจ แต่กลับต้องมาเดือดร้อนภายหลัง บางคนเอาค่าเทอมลูกหลานมาให้ยืม แต่สุดท้ายกลับไม่ได้คืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบางคนได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่โรงพักหลายแห่ง แต่ยังไม่ได้ได้แจ้งความดำเนินคดี เพราะอยากให้โอกาสกลับมาพูดคุยเจรจาหาทางออกร่วมกัน ไม่ต้องการให้เสียประวัติ แต่หากยังไม่ติดต่อกลับจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฏหมาย