รมว.ศึกษาธิการ ยอมรับการเรียนออนไลน์ไม่ดีเท่าเรียนที่โรงเรียน แต่จำเป็นต้องขับเคลื่อนการศึกษาในช่วงโควิด-19 ระบาด
วันที่ 8 กันยายน 2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงข้อเรียกร้องของกลุ่ม “นักเรียนเลว” ที่เรียกร้องให้หยุดเรียนออนไลน์ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกกลุ่ม และขอชี้แจงว่าการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ สืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 หรือ โควิด 19 ทำให้ ศธ.ต้องออกคำสั่งปรับรูปแบบการศึกษา เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดยมีนโยบายและมอบหมายให้หน่วยงานต้นสังกัด จัดทำคู่มือการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์โควิด 19 และให้โรงเรียนพิจารณาเลือกรูปแบบการเรียนการสอน 5 รูปแบบ คือ 1) On-Site เรียนที่โรงเรียน โดยมีมาตรการเฝ้าระวังตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) 2) On-Air เรียนผ่านมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ DLTV 3) On-Demand เรียนผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ 4) Online เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต 5) On-Hand เรียนที่บ้านด้วยเอกสาร เช่น หนังสือ แบบฝึกหัดใบงาน ในรูปแบบผสมผสาน หรืออาจใช้วิธีอื่น ๆ เช่น วิทยุ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการเรียนแบบผสมผสานตั้งแต่ 2 รูปแบบขึ้นไป โดยพิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ ยึดหลักความปลอดภัย และความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครองเป็นหลัก รวมถึงได้มอบหมายให้หน่วยงานต้นสังกัดออกแนวปฏิบัติ แนวทางลดภาระครู นักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อแก้ปัญหาให้กับประชาชน หลังจากที่มีการจัดการเรียนการสอนไประยะหนึ่ง และตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.) เพื่อติดตามสถานการณ์ แก้ไขปัญหา สนับสนุนการเรียนการสอน เพื่อให้การจัดการศึกษาให้เดินหน้าต่อไปได้โดยไม่หยุดชะงัก
“ศธ.ให้ความสำคัญและเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของเด็กเป็นอย่างมาก เราทราบดีว่าการเรียนออนไลน์ ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีเท่ากับการเรียนที่โรงเรียน ซึ่ง ศธ. และรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ โดยได้ประสานกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดหาวัคซีนมาให้นักเรียนทุกคน แต่กลุ่มนักเรียนถือเป็นกลุ่มที่ความละเอียดอ่อน และต้องมีความระมัดระวัง ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องได้รับการยืนยันจาก สธ.ว่า วัคซีนตัวไหนที่มีความเหมาะสม เช่น วัคซีน Pfizer ที่จะมีการฉีดให้แก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป
ในกรณีที่สถานศึกษายังไม่สามารถเปิดสอนที่โรงเรียนได้ ศธ.ก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เด็กเข้าถึงการเรียนรู้และแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง เช่น สถานศึกษาคืน-ลด-ขยายเวลาผ่อนชำระ-ช่วยเหลือค่าเทอมนักเรียน, เยียวยาค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา คนละ 2,000 บาท, สนับสนุนอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สำหรับนักเรียน, ปรับการเรียน การสอบ เพื่อลดความกังวลของนักเรียน เป็นต้น” รมว.ศึกษาธิการ กล่าว
ทั้งนี้ ศธ.ยังได้จัดช่องทางช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากความเครียดในการเรียนออนไลน์, ค้นหาเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาส ที่ตกหล่น ขาดโอกาสทางการศึกษา และนำนักเรียนเข้าระบบการศึกษา, ช่วยเหลือนักเรียนกำพร้าที่บิดามารดาเสียชีวิตจากโควิด จำนวน 109 ราย และได้รับทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ 14 ราย, จัดหาวัสดุเวชภัณฑ์ยาสำหรับเด็กพิการและครอบครัว จำนวน 27,474 ราย, ลดช่องว่างการเรียนและผลกระทบความรู้ที่ขาดหายไป โดยให้สถานศึกษายืดหยุ่นการใช้เงินงบประมาณตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี จัดการเติมเต็มให้นักเรียนเป็นรายบุคคล ซึ่ง ศธ.จะเดินหน้าจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพทั่วถึง โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของทั้งนักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครอง