กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เผยโรคหูดเป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อทางการสัมผัสได้ แต่ไม่อันตราย ซึ่งการรักษาหูดมีหลายวิธี หากสงสัยว่าเป็นโรคหูด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา รวมถึงป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและการกลับมาเป็นซ้ำอีก

156

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคผิวหนัง เผยโรคหูดเป็นโรคผิวหนังที่ติดต่อทางการสัมผัสได้ แต่ไม่อันตราย ซึ่งการรักษาหูดมีหลายวิธี หากสงสัยว่าเป็นโรคหูด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา รวมถึงป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและการกลับมาเป็นซ้ำอีก

CEP6jz.jpgนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า “โรคหูด” เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิด Human Papillomavirus ซึ่งเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงของผิวหนัง มีหลายชนิดและหลายขนาด รูปร่างจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น หูดอาจจะมีรอยโรคเดียว หรือขึ้นหลายรอยโรคก็ได้ สามารถเกิดตามเยื่อบุและตามผิวหนังของร่างกาย โดยมักจะขึ้นที่มือ เท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมทั้งที่อวัยวะเพศได้ พบได้ทั่วไปโดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน หูดสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสได้ โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่มีบาดแผล ส่วนใหญ่รอยโรคมักจะไม่มีอาการ นอกจากทำให้ดูไม่สวยงาม น่ารำคาญ ผู้ป่วยน้อยราย มักจะมีอาการเจ็บบริเวณตำแหน่งที่มีการกดทับ เช่น หูดที่ฝ่าเท้า ถ้าเสียดสีมากๆ อาจจะมีเลือดออกที่รอยโรคได้ และถ้ารอยโรคมีขนาดใหญ่จะเจ็บทำให้ไม่สามารถใส่รองเท้าได้ ประมาณสองในสามของหูดจะหายไปเองได้ในเวลา 12-24 เดือน โดยไม่ทิ้งรอยแผลไว้ และเมื่อหายแล้วก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก หากเป็นหูดที่อวัยวะเพศควรปรึกษาแพทย์

ทางด้านแพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การรักษาหูดมีหลากหลายวิธี ได้แก่

  1. การรักษาด้วยการทายา ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิซิลิก กรดแลคติก ซึ่งเป็นที่นิยมเพราะง่าย และราคาไม่แพง แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังตามคำแนะนำวิธีการใช้ในแต่ละแบบ เพราะกรดมีฤทธิ์กัดกร่อนสูงเนื่องจากใช้ความเข้มข้นค่อนข้างสูง และการทายาเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้มาทำลายหูด เช่น ยา Imiquimod, Diphencyprone or squaric acid topical immunotherapy
  2. การจี้ทำลายรอยโรคด้วยเลเซอร์หรือการจี้ไฟฟ้า หลังทำเสร็จมักมีอาการปวด และอาจมีแผลเกิดขึ้นได้ จึงต้องมีการดูแลรักษาแผลอย่างต่อเนื่อง
  3. การจี้ไอเย็น โดยใช้ไนโตรเจนเหลว ซึ่งมีข้อดี คือ ดูแลหลังการรักษาง่าย แต่อาจจะต้องจี้ซ้ำหลายครั้ง แล้วแต่ขนาดและความหนาของรอยโรคจนกว่าจะหายขาด
  4. การผ่าตัดรอยโรคออกไป คือ การผ่าตัดเอาก้อนหูดออกไป

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การรักษาหูด มักจะใช้เวลานาน อาจต้องใช้หลายวิธีการรักษาร่วมกัน และบางครั้งหลังการรักษาหูดอาจจะเกิดรอยแผลบริเวณที่ทำการรักษาได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าเป็นโรคหูด ควรมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกวิธี

*****************************************
#กรมการแพทย์ #สถาบันโรคผิวหนัง #แพทย์ผิวหนัง #เผยโรคหูดติดต่อทางการสัมผัสได้แต่ไม่อันตราย
– ขอขอบคุณ-

  • แหล่งที่มา : ข่าวประชาสัมพันธ์ กรมการเพทย์
  • เว็บไซต์ : https://www.dms.go.th/