ตามหามากว่า 4 ปี! หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นตามหาพ่อ ที่หายไปขณะท่องเที่ยวบนดอยอินทนนท์ ตั้งแต่ 9 เม.ย. 61 มูลนิธิกระจกเงาประสานเจ้าหน้าที่ เตรียมออกค้นหาจุดที่หายไปอีกครั้งกลางเดือน ก.พ. นี้
วันที่ 31 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงาน เฟซบุ๊ก “มูลนิธิกระจกเงา” โพสต์เล่าเรื่องเรื่องบทสัมภาษณ์ของ คุณ ชิญญา นาคามูระ ซึ่งตามหาคุณพ่อที่หายไปบนดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 61 โดยขณะนั้นเจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลังค้นหากันแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบแต่อย่างใด รวมระยะเวลาเกือบ 4 ปีผ่านมาแล้ว ซึ่งคุณชิญญา ได้ออกตามหาอยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแต่ก็ยังไม่พบ โดยคุณชิญญา ระบุว่า ตอนเด็กๆ ผมเคยไปดูหนังกับพ่อ ผมพูดได้แต่ภาษาไทย พ่อพูดได้แต่ภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ผมบอกพ่อว่าผมหนาว พ่อรีบถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อกล้าม เอามาคลุมตัวผม พ่อพยายามเรียนภาษาไทย เพื่อไว้คุยกับผม เวลาคุยกันไม่รู้เรื่อง พ่อจะยิ้ม แต่ส่วนใหญ่ก็จะรู้ความหมายกัน
พ่อผมเป็นคนญี่ปุ่น แม่ผมเป็นคนไทย ผมเกิดและโตในเมืองไทย ชื่อนามสกุลผมเป็นภาษาญี่ปุ่นเลย ตอนเด็กๆ มีแต่คนถามว่า เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น พูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้างมั้ย แต่ผมพูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเรามีปมอะไรบางอย่าง ก็คิดว่าสักวันหนึ่งต้องพูดภาษาญี่ปุ่นให้ได้
พ่อไม่ได้อยู่กับผมที่เมืองไทย พ่อเป็นวิศวกรที่ต้องเดินทางไปทั่วโลก ปีนึงจะเจอพ่อสามเดือนครั้ง ครั้งละ 7 วัน ทุกครั้งที่พ่อมาหา ผมจะดีใจมาก ไปรอรับพ่อที่สนามบิน พอเห็นพ่อผมจะวิ่งไปกอดพ่อ แต่พอโตขึ้น ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันมันน้อยลงเรื่อยๆ เวลามันจำกัด ตั้งแต่เกิดจนโต เจอกันกับพ่อน้อยมาก แม่จึงเป็นหลักในการเลี้ยงดูผม
พ่ออาจไม่ได้พูดสอนผมตรงๆ แต่พ่อทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาโดยตลอด ครั้งนึงผมนัดพ่อที่สถานีรถไฟ ผมไปสายจากเวลานัดสองนาที พ่อไม่รอผมแล้ว ผมโทรหา พ่อด่ากลับ บอกว่าอีกหน่อยถ้าไม่รักษาเวลาคงโดนบริษัทไล่ออก พ่อเป็นคนมีระเบียบ ตรงเวลา ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่ามาช้าแป๊บเดียวทำไมพ่อไม่รอ โตขึ้นผมจึงเข้าใจว่าพ่อกำลังสอนผมอยู่
หลังเรียนจบวิศวะที่เมืองไทยผมไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น 1 ปี หลังจากนั้นก็หางานอีกครึ่งปี งานที่ญี่ปุ่นหายากมาก พ่อช่วยผมตลอด ดูทั้งประกาศหางาน ดูทั้งงานสัมมนา ที่เป็นประโยชน์กับผม จนวันที่ผมได้งานทำ เป็นวันที่พ่อผ่อนคลายลง เข้มงวดน้อยลง เหมือนพ่อเห็นว่าผมโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
เงินเดือนเดือนแรกผมเอาให้พ่อกับแม่ แต่พ่อไม่รับ พ่อบอกว่าอยากให้ผมเก็บไว้ใช้ ผมอยากให้พ่อแม่ เพราะท่านทุ่มเทกับผมมาทั้งชีวิต พ่อบอกว่าพ่อมีเงินจากการทำงานของตัวเองอยู่แล้ว หลายครั้งผมรู้สึกว่าพ่อเก่งกว่าผมมาก ผมยังตามพ่อไม่ทันอีกหลายเรื่อง จนผมมีลูกผมก็ยังกดดันตัวเองว่า จะเลี้ยงลูกได้ดีอย่างที่พ่อเลี้ยงผมมั้ย
พ่อเป็นฮีโร่ในความรู้สึกของผม พ่อเดินทางไปทั่วโลก ทำโปรเจคด้านวิศวกรรมเป็นร้อยโครงการ เสียดายตอนผมวัยรุ่น พ่อเคยชวนผมไปประเทศต่างๆ ด้วย แต่ตอนนั้นผมขี้กลัว ขี้อาย ไม่อยากปรับตัว เลยไม่ได้ไป ก็เสียใจมาถึงวันนี้ ตอนนี้ผมกลายเป็นคนอยากทำอะไรที่ท้าทาย อยากเรียนรู้ ตอนนั้นถ้าได้ไปกับพ่อก็คงจะเป็นช่วงเวลาที่ดีในชีวิตเลย
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ เมื่อลูกแยกบ้าน มีครอบครัวแล้วหรือไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกัน จะติดต่อหากันน้อยลง แค่ปีละ 1-2 ครั้ง แต่ผมกับพ่อจะเขียนอีเมล์คุยกันทุกวัน เหมือนเราเขียนจดหมายเล่าให้พ่อฟัง ว่าวันนี้ไปทำงานเป็นยังไงบ้าง มีเรื่องเครียด เรื่องท้อใจก็จะเล่าให้พ่อฟัง พ่อมักจะให้กำลังใจเสมอ พ่อเคยบอกว่าจะเขียนอีเมล์หาผมทุกวัน ถ้าหากพ่อไม่ได้เขียนอีเมล์หาสักอาทิตย์นึง นั่นแปลว่าพ่อไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
ผมมีลูกสองคน พ่อเป็นคนตั้งชื่อให้ คนโตชื่อโจจิ แปลว่าผู้ปกครองปราสาท ส่วนคนเล็กชื่อ ชิออน แปลว่า เสียงแห่งความมุ่งมั่น พ่อค่อนข้างเห่อหลานมาก เวลามาเมืองไทยก็จะเล่นกับหลานตลอด จนวันหนึ่งผมเขียนอีเมล์หาพ่อ ชวนแกมาเที่ยวเมืองไทย เพราะผมมีวันหยุดยาวหลายวัน ก็คิดว่าจะไปเที่ยวกับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
คุยกับแม่ว่าพาพ่อไปดอยอินทนนท์ ที่เชียงใหม่ดีกว่า เพราะพ่อไม่ได้ไปเที่ยวที่นั่นหลายปีแล้ว ก็เลยเหมารถตู้จากกรุงเทพฯ ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่กัน เช้าวันที่ 9 เมษายน 2561 ก็พาพ่อมาดอยอินทนนท์ อยู่ๆระหว่างเดินทาง พ่อพูดขึ้นมาว่า พ่อคงได้มาดอยอินทนนท์เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตแล้ว ผมก็บอกว่าไม่ใช่หรอกพ่อ ถ้าพ่ออยากมา ผมจะพามาอีก
ก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์ ระหว่างทางแวะถ่ายรูปกันที่ พระธาตุฯ ประมาณเกือบสิบโมง ผมก็ถ่ายรูปดอกไม้ พอเงยหน้ามาก็ไม่เห็นพ่อ จึงเดินหาแถวนั้นแป๊บนึง คิดว่าพ่อรู้ว่าต้องเดินทางต่อไปด้านบนยอดดอย พ่ออาจไปรอตรงกิ่วแม่ปาน ผมก็ขึ้นไปดูตรงนั้น เรามีลูกเล็กไปด้วยสองคนมันก็กังวลด้วย ก็ไปตามหาถึงยอดดอยอินทนนท์ ก็ไม่มีใครเห็นพ่อ เลยย้อนกลับมาที่พระธาตุฯจุดที่พ่อหายไป คราวนี้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยตามหาและสกัดตรงด่านเข้าออก
มีคนงานที่ดอยอินทนนท์ เขาบอกว่าเห็นพ่อเดินลงไปลานหินตรงพระธาตุฯ ซึ่งเป็นแนวรอยต่อกับเขตป่า ก็คิดว่าพ่ออาจหายเข้าไปในป่า จุดนั้นกล้องวงจรปิดใช้งานไม่ได้ เลยไม่เห็นว่าพ่อกลับขึ้นมาแล้วหรือยัง ทางอุทยานฯ ทหาร และชาวบ้าน ก็ลงไปช่วยค้นหาในป่า กล้องวงจรปิดตรงด่านทางขึ้นก็ไม่ชัด จับป้ายทะเบียนรถไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าจะตัดประเด็นไหนได้บ้าง ระหว่างพ่อยังหลงป่าอยู่กับพ่อติดรถใครกลับเข้าเมืองแล้ว แต่ถ้าพ่อเข้าเมืองพ่อต้องติดต่อกลับมาหาผมแล้ว
เกือบ 4 ปีที่พ่อหายไป แม่พยายามปลอบใจผม บอกว่าพ่อไปมาทั่วโลกแล้ว ก็คิดว่าพ่อเอาตัวรอดได้ ผมก็ทำประกาศในเพจออนไลน์ต่างๆ เดินแจกใบปลิวรอบเมืองเชียงใหม่ ผมขึ้นมาตามหาพ่อที่เชียงใหม่เป็นสิบๆครั้ง ตระเวนไปดูศพนิรนามตามโรงพยาบาลต่างๆ จนกระทั่งบินไปญี่ปุ่นเพื่อดูว่าพ่อกลับไปแล้วหรือไม่ แต่สถานะที่นั่นญาติพ่อก็แจ้งความคนหายไว้เหมือนกัน
ในการตามหาพ่อ บางทีเจอคนพูด คนคอมเม้น ไม่ดีใส่ผม ก็คิดว่า ต้องอดทนให้มากที่สุด เคยมีคนพูดกับผมว่า จะประกาศทำไม มันเรื่องใหญ่เหรอ ตายแล้วมั้ง ผมทำได้ก็คือ อดทนกับมัน จะไปบอกว่าเขาผิดเหรอ มันก็พูดไม่ได้ ผมก็พยายามไม่สนใจกับคำพูดแบบนั้น แล้วเอาใจไปให้กับคนที่เสียเวลาเสียสละแชร์ข้อมูลช่วยเราดีกว่า
ผมเป็นวิศวกร ผมเชื่อวิทยาศาตร์ แต่พอเกิดเรื่องพ่อ เราก็เริ่มพึ่งไสยศาสตร์ คนไหนดัง ใครแนะนำอะไร ผมไปหมด ไปมาเป็นสิบๆ คนแล้ว เสียตังค์ทุกคนจะมากน้อยแต่เสียตังค์ทั้งนั้น มันดูไม่มีเหตุผล แต่เมื่อมันไม่มีทางอื่นแล้ว ผมถามเขาว่า ชี้จุดได้มั้ย ว่าพ่อผมอยู่ตรงไหน แม้ผมจะไม่เชื่อ แต่ก็คิดว่าลองดู ยังไม่มีใครสามารถชี้จุดได้เลย มีแต่บอกว่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ต้นไหนล่ะ มันใหญ่ทุกต้น ผมไปมาหลายที่แล้ว แต่ละที่บอกไม่เหมือนกันเลย มีทุกคำตอบ บ้างบอกว่าตายแล้ว บ้างเดินข้ามป่าไปแล้ว บ้างบอกเข้าเมืองแล้ว ไปดูมาสิบคนก็มีสิบคำตอบ
มีคนเคยบอกว่าให้ผมหยุดตามหา ให้กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรเขา ผมไม่ใช่คนรวย ไม่ได้มีทรัพยากรที่จะจ้างใครมาค้นหา ไม่ได้มีอะไรขนาดนั้น แล้วมันก็มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น การมาตามหาครั้งนึง ใช้เงินเป็นหลักหมื่น หน่วยงานต่างๆ ก็ต้องมาเดือดร้อนไปกับผมด้วย ผมก็เกรงใจทุกหน่วยที่มาช่วยตามหาพ่อ
ผมไม่สามารถหยุดตามหาพ่อได้ ก็เพราะเขาเป็นพ่อเรา มันอาจจะดูเหมือนผมเห็นแก่ตัว การมาหาพ่อบางทีมันไม่พอค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ บางทีต้องไปยืมบ้านแฟน ฝากญาติให้ช่วยดูแลลูกระหว่างขึ้นมาหาพ่อ แต่มันหยุดไม่ได้ มันอยู่ในหัว ทุกครั้งที่ผมมาตามหาพ่อ มาตรงพระธาตุฯ จุดที่พ่อหายไป มันเป็นความรู้สึกที่แบบ…(ร้องไห้)”
มูลนิธิกระจกเงา พาคุณชิญญา มายังดอยอินนนท์อีกครั้ง ประชุมหารือร่วมกับ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์, กองทัพอากาศ, ตำรวจป่าไม้ (ปทส) มีความเห็นร่วมกันว่าจะทำการค้นหาในจุดที่คุณพ่อคินยาหายตัวไปอีกครั้ง ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่จะถึงนี้
ข้อมูลคนหาย นายคินยา นาคามูระ อายุ 82 ปี (Mr.Kinya Nakamura) ชาวญี่ปุ่นหายออกจากอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ วันที่ 9 เม.ย. 2561 คนหาย รูปร่างผอม สูง 168 ซม. ผิวสีขาว ผมสั้น สีผมดำ-ขาว ฟันกรามด้านในอุดด้วยโลหะทองคำขาว การแต่งกาย สวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีฟ้า-ขาว สวมกางเกงขายาวสีครีม เข็มขัดสีน้ำตาลแดง รองเท้าสีดำยี่ห้อ FILA สวมหมวกแก๊ปสีดำเขียนว่า DUNLOP มีกระเป๋าสะพายข้างสีเขียวขี้ม้า สวมนาฬิกาข้อมือโลหะ
ท่านใดพบเห็นโปรดแจ้ง มูลนิธิกระจกเงา โทร 095-631-1914
***ต้องการเบาะแสนักท่องเที่ยวที่ไปดอยอินทนนท์ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2561 อาจถ่ายภาพติดคนหาย หรือให้คนหายติดรถลงมาตีนดอย***