แม่ค้ากล้วยร้องศูนย์ดำรงธรรมเชียงใหม่ หลังรถกระบะถูกตำรวจยึด ขอคืนมานานไม่เคยได้ สุดท้ายเจอพ่อค้าหมูขับไปขายของในตลาดนัด ด้าน ผกก.ขอตรวจสอบข้อเท็จจริง
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ นางวิสุดา จันทร์สุข อายุ 57 ปี นำหลักฐานเข้าร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ เรียกร้องขอความเป็นธรรม ระบุว่าตำรวจไม่ยอมคืนรถยนต์กระบะที่ตกเป็นของกลางในคดียาบ้าของลูกชาย ทั้งที่พนักงานอัยการมีหนังสือแจ้งให้คืน ทำครอบครัวแทบล้มละลายเพราะไม่มีรถทำมาหากิน สุดท้ายเจ็บกว่าเมื่อไปเจอรถตัวเองถูกนำไปให้พ่อค้าขายหมูตลาดนัด
นางวิสุดา เล่าว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 64 นายเอกอนันต์ อายุ 37 ปี ลูกชายถูกตำรวจ สภ.หางดง จับกุมพร้อมของกลางยาบ้า 100 เม็ด ในหมู่บ้านท่าไม้ลุง ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ โดยตำรวจได้ยึดรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีฟ้า ทะเบียน บน 7629 พะเยา เป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำผิด โดยรถคนนี้เป็นชื่อของนายคมสัน อายุ 57 ปี ซึ่งเป็นสามี
ต่อมาตนเองได้ไปชี้แจงกับทางตำรวจ แจ้งว่ารถคันดังกล่าวไม่ได้เป็นรถของลูกชาย แต่มีชื่อนายคมสัน อายุ 57 ปี สามีเป็นเจ้าของรถ ยืนยันว่ารถคันนี้ครอบครัวใช้ทำมาหากิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของลูกชาย แต่ทางตำรวจไม่คืนให้ หลังจากนั้นได้แจ้งไปที่ไฟแนนซ์ ไฟแนนซ์ติดต่อไปตำรวจก็ยังไม่ได้คืน ทางตำรวจแจ้งว่าขอตรวจสอบหลังจากนั้นเรื่องหายไปนานจึงได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดและอัยการจังหวัด จนกระทั่งเดือนตุลาคม 64 พนักงานอัยการได้มีหนังสือถึงตำรวจแจ้งให้คืนรถ หลังจากนั้นได้ไปติดต่อก็ถูกบ่ายเบี่ยงและไม่ได้รถคืนมา
กระทั่งช่วงเย็นวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ตนเองกับสามีไปขายกล้วยที่ตลาดนัดเกาะกลาง ต.ป่าแดด อ.เมืองเชียงใหม่ ระหว่างกำลังขายของ ลูกชายเห็นรถกระบะคันหนึ่งขับเข้า มีจักรยานยนต์บรรทุกมาด้วย ตนเองจึงบอกให้เข้าไปช่วยยกรถจักรยานยนต์ลงมาจากรถ แต่ปรากฏว่าเมื่อเห็นป้ายทะเบียนรถ บน 7629 พะเยา สียี่ห้อตรงกับรถของตัวเองที่ถูกตำรวจยึดไปก็ใจหายวาบ รู้ว่าเป็นรถของตัวเอง ทั้งแปลกใจว่ารถถูกตำรวจยึดไป แต่ทำไมมาโผล่ที่ตลาดนัด โดยพบว่าคนที่ขับมาเป็นพ่อค้าหมูมากันสองคนชายหญิง เมื่อเข้าไปสอบถามว่าได้รถมาอย่างไร ได้คำตอบว่า “นายให้เอามาใช้” ก่อนที่ทั้งสองจะขับรถออกไปทันที ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดตนเองได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน
นางวิสุดา บอกว่า ในเรื่องคดียาบ้าของลูกชาย แม้จะเชื่อมั่นว่าลูกชายถูกกลั่นแกล้ง แต่ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ที่ติดใจและเข้าร้องเรียนหลังถูกยึดรถไปก็เพราะว่ารถที่ถูกบอกว่าเป็นของกลาง กลับถูกนำไปใช้ขายของ
นางวิสุดา บอกทั้งน้ำตาว่ารถคันนี้ซื้อมาเพื่อนำมาทำงานรับเหมาก่อสร้างเป็นรายได้หลักของครอบครัว ผ่อนเดือนละ 8,666 บาท มานานสองปี หลังถูกยึดไปก็เหมือนถูกตัดแขนตัดขา จนไม่สามารถรับงานได้ รายได้หายไปทั้งหมด ต้องมาขายกล้วยแทน ส่วนสามีก็เครียดหนักจนไปบวชหน้าไฟให้กับบิดาแล้วไม่สึก ขอสงบจิตสงบใจในวัดไปก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นมีคนแนะนำให้ไปจ้างทนายก็ไม่มีเงิน
ล่าสุดบริษัทไฟแนนซ์ได้ทำหนังสือและขอรับรถคืนได้เมื่อ 28 มกราคม ที่ผ่านมา พร้อมกับแจ้งให้ตนเองต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 40,000 บาท จากการขาดผ่อนส่ง 4 เดือน ครอบครัวเดือดร้อนมากเพราะเหมือนกับผ่อนรถไปฟรี ๆ โดยที่ไม่มีรถมาใช้ จึงออกมาร้องเรียนให้ทางตำรวจชี้แจงและรับผิดชอบ
ขณะที่นายเอกราช รังสรรค์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวหลังรับเรื่องว่าจะประสานไปที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ในประเด็นที่รถของกลางถูกนำไปใช้ ส่วนจะมีความผิดหรือไม่ ในทางกฎหมายแล้วเบื้องต้นไม่สามารถทำได้
ด้าน พ.ต.อ.คมสัน มีภักดี ผกก.สภ.หางดง เปิดเผยว่า ตรวจสอบแล้วพบว่ารถคันนี้เป็นรถของกลางที่อยู่ในบัญชีของคดี ไม่สามารถคืนให้กับผู้ร้องเรียนได้ เนื่องจากจะต้องถูกตรวจสอบ แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ห้องคดีรายงานมาว่าบริษัทไฟแนนซ์ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถ ได้ทำเรื่องและมาขอรับรถไปเพื่อตรวจสอบในส่วนของไฟแนนซ์ หลังจากนั้นจึงไปพบว่ารถถูกนำไปใช้ ซึ่งไม่อยู่ในช่วงที่ตำรวจดูแลเป็นของกลาง อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะสอบถามข้อเท็จจริงไปยังผู้ร้องเรียนอีกครั้ง