เจอตัวแล้ว! คนแช่ศพทารกในตู้แช่แข็ง ที่แท้เป็นลูกเลี้ยงเจ้าของบ้าน อ้างทำใจไม่ได้ลูกคนแรกแท้งในท้อง เลยเอาศพใส่ตู้พร้อมของเล่น
รายงานความคืบหน้ากรณีพบศพเด็กทารกซุกในตู้แช่แข็งที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายหลังจากที่ช่วงสายวันนี้ (8 มี.ค.65) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเร่งคลี่คลายปมคดี โดยจากการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องเบื้องต้น ทำให้ทราบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ขณะที่ล่าสุด นางศรีน้อย ประภาพันธ์ แม่ของนายวิรัตน์ ประภาพันธ์ เจ้าของบ้าน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว โดยเล่าอย่างละเอียดว่าศพทารกที่พบไม่ใช้ลูกใครที่ไหน แต่เป็นลูกของนายเอ้ว หรือ นายเบญจรงค์ (ไม่ทราบนามสกุล) อายุประมาณ 24 ปี ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของ นายวิรัตน์ เจ้าของบ้านหลังดังกล่าวที่พบศพทารก โดยหลังจากที่ นายวิรัตน์เดินทางไปอยู่ต่างประเทศ ตนเองและนายเอ้วยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ จนกระทั่งประมาณสองปีก่อน นายเอ้วมีลูกกับแฟนสาวที่อยู่ด้วยกัน แต่ภายหลังเด็กเสียชีวิตในครรภ์ แพทย์โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้ทำการผ่าศพออกมาและจะดำเนินการให้ แต่นายเอ้ว ได้ปฏิเสธและขอนำศพกลับมาดำเนินการเอง
ต่อมา หลังจากนั้นนายเอ้วก็ได้นำศพลูกมาที่บ้าน บอกว่านี่ไงหลานยาย ตนจึงดุด่าและบอกให้นำไปเผาหรือประกอบพิธีทางศาสนา แต่นายเอ้ว กลับบอกว่าเป็นลูกคนแรกยังทำใจไม่ได้ ก่อนที่จะไปซื้อตู้แช่แข็งมาใส่ศพ บอกว่าขอเวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้นไม่นานตนเองจึงย้ายออกไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่ เมื่อสอบถามนายเอ้วก็บอกว่าเอาศพออกจากบ้านไปแล้ว ส่วนนายเอ้วกับแฟนช่วงหลังมาทราบว่าก่อเหตุลักทรัพย์ในร้านสะดวกซื้อและถูกจับกุมดำเนินคดีไปพร้อมกับแฟนสาว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าพ้นโทษหรือยัง
อย่างไรก็ตามล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.แม่ปิง ได้เข้าสอบถามปากคำกับ ยายศรีน้อย เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับคดีดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ทราบว่า นายเอ้ว หรือ นายเบญจรงค์ ยังถูกคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ และยังไม่พ้นโทษ ส่วนสาเหตุนั้นสันนิษฐานว่า ตอนที่นายเอ้ว ได้นำศพลูกของตัวเองมาแช่ไว้ในตู้แช่ และกำลังจะดำเนินการนำศพไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ตามที่รับปากกับยายนั้น น่าจะถูกจับกุมดำเนินคดีก่อน จึงทำให้ศพของทารกถูกทิ้งไว้ที่ห้องพักโดยไม่มีใครทราบ จนกระทั่งมีคนมาเจอ หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการเข้าสอบปากคำนายเอ้ว ที่เรือนจำรวมทั้งขอข้อมูลจากโรงพยาบาล เพื่อจะดำเนินการตรวจสอบว่ากรณีที่เกิดขึ้นนี้จะเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายในข้อหาใดบ้าง