คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแก้สลากแพง เตรียมเสนอให้รางวัลนำจับ 2,000 บาท ผู้ที่แจ้งเบาะแสขายหวยแพงเกินใบละ 80 บาท
วันที่ 18 เมษายน 2565 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ในราคาเกินกว่าที่กำหนด ร่วมกันแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า ในวันนี้ คณะกรรมการรับทราบความคืบหน้าการคัดสรรผู้ค้านอกระบบตั้งแต่ 16 มีนาคมมีการลงพื้นที่สำรวจผู้ค้า ว่าเป็นผู้ค้าในหรือนอกระบบ 7,793 ราย เป็นผู้ขายนอกระบบ 4,367 ราย หรือไม่มีสลากเป็นของตัวเอง ต้องซื้อมาขายต่อ ทำให้ราคาสูงกว่าปกติ จะมีการนำรายชื่อผู้ค้าเหล่านี้ ให้ได้รับสิทธิโควตาสลาก เพื่อให้ได้รับสลากราคาต้นทุน
ส่วนความคืบหน้าการจำหน่ายสลากตามโครงการสลาก 80 บาท 1,000 จุด ปัจจุบันจะมีอำเภอที่ขาดผู้สมัคร 237 อำเภอ โดยจะมีการเพิ่มเติมให้ครบจำนวน 1,000 จุด เพื่อให้โครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่องต่อไป
นอกจากนี้จะมีรางวัลนำจับ พบใครขายเกินราคาให้แจ้งตำรวจ จะได้รับรางวัล 2,000 บาท และผู้ทำผิดจะถูกตัดสิทธิทันที และที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการสำคัญทางกฎหมายที่ควรนำมาแก้ไขจากเดิม พ.ร.บ. สลากกินแบ่งฯ มีแค่โทษปรับ ต่อไปจะมีการแก้กฎหมาย โดยมาตรการทางแพ่ง คือการแก้ไขสัญญาสำนักงานสลากฯ กับคู่สัญญา (ผู้นำสลากไปขาย) ทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา กำหนดภาระความรับผิดชอบให้คู่สัญญาที่รับสลากไปขาย ต้องกำกับดูแลไม่ให้ขายเกินราคาที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะขายด้วยตนเองหรือเปลี่ยนมือไปขายโดยคนอื่น ถ้าหากคู่สัญญาทำผิด จะมีบทลงโทษทางแพ่งคือ ชำระเบี้ยปรับ และจะถูกตัดสิทธิ รวมถึงอาจกำหนดให้คู่สัญญาที่เป็นนิติบุคคลวางมัดจำ และกำหนดเบี้ยปรับเอาไว้ สำนักงานฯมีสิทธิริบมัดจำหากทำผิดสัญญา และเรียกชำระค่าปรับ
มาตรการทางอาญา เพิ่มโทษจำคุกมาใช้กับผู้ขายสลากเกินราคา นอกจากนี้ผู้ขายเกินราคาทำผิดซ้ำ จะมีการเพิ่มโทษอีก และอาจมีการกำหนดให้ผู้มาเป็นตัวแทนขายสลากต้องมี “ใบอนุญาต” ห้ามไม่ให้คนไม่มีใบอนุญาตขายสลาก หากฝ่าฝืนจะถูกจำคุกหรือปรับ
ส่วนกฎหมายอื่นๆ จะมีการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำให้การขายสลากแพงขึ้นหรือปั่นราคา เช่น รวมชุดสลาก จะถือว่ามีความผิด และ แก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิด โดยส่งเรื่องให้ หน่วยงานด้านภาษี ตรวจสอบภาษีผู้กระทำผิดด้วย
ซึ่งมติเหล่านี้จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 27 เมษายนนี้เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป
ข้อมูล : สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์