“ไปรษณีย์ไทย” ปรับขึ้นค่าบริการครั้งแรกในรอบ 18 ปี แต่ยังตรึงค่าบริการจดหมายในประเทศไม่เกิน 10 กรัม ที่ 3 บาท ยืนยันไม่กระทบผู้ใช้บริการรายย่อย-ประชาชน

309

“ไปรษณีย์ไทย” ปรับขึ้นค่าบริการครั้งแรกในรอบ 18 ปี แต่ยังตรึงค่าบริการจดหมายในประเทศไม่เกิน 10 กรัม ที่ 3 บาท ยืนยันไม่กระทบผู้ใช้บริการรายย่อย-ประชาชน

วันที่ 27 เมษายน 2565 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้รับการอนุมัติปรับอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์ หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ โดยยังคงอัตราค่าบริการพิกัดแรกน้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม เช่นเดิม และผู้ใช้บริการที่ฝากส่งเอกสารในปริมาณมาก จะมีส่วนลดพิเศษ รวมถึงพัฒนาระบบการจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร หรือดิจิทัลเมล  พร้อมเป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนที่สอดรับกับยุคสมัย

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ตามที่มีมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาและเห็นชอบการปรับอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์ ตามร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราไปรษณียากรนั้น ถือเป็นการปรับอัตราค่าบริการครั้งแรกในรอบ 18 ปี ของการดำเนินงานของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งเป็นเพียงการขึ้นราคาเฉพาะการส่งจดหมายและเอกสารสำคัญ และจะปรับเฉพาะบริการจดหมายในประเทศเท่านั้น โดยอัตราค่าบริการพิกัดแรก น้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม ซึ่งเป็นพิกัดน้ำหนักที่ประชาชนส่วนใหญ่ใช้บริการ ยังคงไว้ที่ บาทเช่นเดิม ส่วนเอกสารหรือจดหมายที่มีน้ำหนักเกินจากที่กำหนดจำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจและการแบกรับต้นทุน อย่างไรก็ตามเพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ภาคธุรกิจซึ่งฝากส่งเอกสารและจดหมายกับไปรษณีย์ไทยมาอย่างต่อเนื่อง หรือการส่งปริมาณมาก ๆ จะมีการมอบส่วนลดในอัตราพิเศษ
 
นอกจากนี้ เพื่อให้การส่งจดหมายและเอกสารสำคัญเกิดประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ไปรษณีย์ไทย ได้พัฒนาบริการรองรับและเป็นทางเลือก คือ การจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร เพิ่มช่องทางการส่งเอกสารที่สะดวกรวดเร็วขึ้น การเป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน การประทับรับรองเวลาอิเล็กทรอนิกส์ให้กับเอกสารสำคัญของหน่วยงาน/องค์กร เพื่อให้สามารถยืนยันได้ว่าเอกสารนั้นเป็นตัวจริง โดยเป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน รองรับการจัดการเอกสารในยุคดิจิทัล
 
ดร.ดนันท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ไปรษณีย์ไทยยังคงเดินหน้าเป็นพลังสำคัญ สนับสนุนสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อเปิดทางให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ประกอบการ eCommerce พัฒนาคุณภาพบริการ EMS ส่งด่วนทุกวัน สะดวกทุกวัน เพิ่มโปรคุ้ม “EMS ลดทุกวัน” ช่วยเซฟค่าส่งได้มากขึ้น การเข้ารับฝากสิ่งของถึงบ้าน โดยที่ผู้ใช้บริการไม่ต้องออกจากบ้าน การพัฒนาระบบดิจิทัลให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวันของผู้ค้าขายและประชาชน เช่น การเพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ให้วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกรผ่านเว็บไซต์ Thailandpostmart.com แพลตฟอร์มออนไลน์ รวบรวมสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่ใหญ่ที่สุดการสนับสนุนสาธารณสุข ส่งยาให้ผู้ป่วยถึงบ้าน โดยที่ไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการรับมือกับสถานการณ์โรคโควิด – 19 ตลอดจนการพัฒนาบริการอื่น ๆ เพื่อให้คนไทยได้รับบริการที่ครอบคลุม และมีความต่อเนื่องในทุก ๆ วัน ดร.ดนันท์ กล่าวสรุป