นายกฯ ชี้แจงจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ตามความจำเป็นเร่งด่วน ยืนยันไม่เคยไปก้าวล่วงอำนาจศาล
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (22 กรกฎาคม 2565) เวล 12.43 น. ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยได้ชี้แจงถึงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ว่าได้ชี้แจงให้ทราบหลายครั้งแล้ว โดยสิ่งที่ชี้แจงมาก็มีเหตุมีผล โดยพิจารณาถึงความจำเป็นและความเร่งด่วน ส่วนการกล่าวหาในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญนั้นได้รับทราบข้อมูลแล้วบางประการ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะเข้าสู่กระบวนการดำเนินการต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการชุมนุมของผู้เห็นต่าง ยืนยันการดำเนินการต่าง ๆ ได้ให้นโยบายมาอย่างต่อเนื่อง ให้ความระมัดระวังอย่างที่สุด สิ่งใดแจ้งเตือนได้ก็ให้แจ้งเตือน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนต่าง ๆ ที่อาจจะได้รับคำชี้แจงที่ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนไป ก็ได้มีการพูดคุยถึงผู้ปกครองเพื่อไม่ให้ต้องอยู่ในอันตรายและถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีก็เป็นเรื่องของศาลสถิตยุติธรรมและศาลเยาวชน ยืนยันไม่เคยใช้อำนาจไปก้าวล่วงอำนาจศาลต่าง ๆ แต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้นการพูดจาเรื่องอะไรขอให้ระมัดระวังไม่ให้ไปละเมิดอำนาจศาล ส่วนในเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น ยืนยันว่าได้ให้อย่างเต็มที่ คิดว่าได้ให้เกิน 100% และพยายามที่จะผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาวให้มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมการเคลื่อนไหวจึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ที่มีรัฐบาลและมีพรรคการเมืองที่เข้ามาอยู่ตรงนี้ ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด และเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศมองออก โดยเฉพาะการที่จะไปพูดจาในมหาวิทยาลัย โรงเรียนต่าง ๆ เพื่อทำลายระบบเพื่อเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดนั้น คิดว่าคนไทยคงไม่ยอม ซึ่งจะมาโทษเจ้าหน้าที่คงไม่ได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องการป้องกันประเทศ การดูแลชายแดนและน่านฟ้าต่าง ๆ ว่า ได้มีการชี้แจงเรื่องนี้หลายครั้งแล้วแต่ก็พยายามจะฟื้นขึ้นมาอีกให้ได้ แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ซึ่งจะถูกใจทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำงานคนเดียวแต่ทำงานด้วยระบบและความร่วมมือประสานสัมพันธ์กับต่างประเทศ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เป็นเพื่อนบ้านของประเทศไทย ทั้งนี้ เรื่องกิจการภายในเป็นเรื่องของประเทศนั้นรวมถึงเรื่องการต่อสู้ด้วย ซึ่งเป็นประเทศไทยก็คงไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายในกิจการประเทศเช่นกัน จึงขอให้ระมัดระวังด้วยในการพูดจาต่าง ๆ โดยสิ่งที่ปรากฏออกมาก็มีทั้งจริงและไม่จริง ทั้งนี้ได้มีการสอบถามไปแล้วว่าได้มีการดูแลหรือไม่ ซึ่งได้รับการรายงานว่ามีการดูแลจากพื้นที่แล้วทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย
ส่วนกรณีที่ถามว่าทำไมไม่รับเข้ามาตามหลักสิทธิมนุษยชนนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเคยรับมาแล้วหลายแสนคน วันนี้ก็เหลืออยู่เกือบแสนคน โดยนำมาดูแลให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเมื่อเกิดการสู้รบในฝั่งประเทศนั้น และเป็นการอยู่ในระยะเวลาหนึ่ง มีการดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชนทั้งการดูแลในเรื่องอาหาร ยารักษาต่าง ๆ โดยไม่เลือกปฏิบัติ และให้กลับไปเมื่อสถานการณ์ภายในประเทศสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่าชายแดนประเทศไทยเป็นชายแดนที่ติดกันกับประเทศเพื่อนบ้านและไม่มีอะไรที่ชัดเจนนอกจากแนวที่ยึดถือกันไว้ตามธรรมชาติ และอยู่ห่างกันระหว่างไทยกับกลุ่มต่อต้านไม่เกินประมาณ 500 เมตร เพราะฉะนั้นการที่จะมีการปะทะกันระหว่างฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งก็หันหลังมาไทย อีกพวกก็หันหน้ามาที่ไทย ดั้งนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้มีมากพอสมควร ซึ่งก็ได้มีการเตือนไปหลายครั้งโดยการใช้อาวุธกระสุนควัน และมีการเตือนเมื่อมีอาวุธกระสุนมาตกที่ฝั่งไทยซึ่งก็ได้รับการปฏิบัติหยุด แต่หากว่ายังฝ่าฝืนอยู่ก็ต้องใช้อาวุธจริงออกไป เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ส่วนกรณีที่มีการนำภาพนายกรัฐมนตรีมาปรับมาเปรียบเทียบเมื่อเดินทางไปต่างประเทศแล้วไม่ได้รับการต้อนรับนั้น เป็นภาพที่นำมาประกอบกันขึ้นทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องจริง โดยขอให้ไปขอข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่อง กยศ. ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับคนที่ออกนอกระบบการศึกษา ได้มอบหมายไปยังกระทรวงศึกษาธิการซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการนำกลับเข้ามาในระบบ ยืนยันรัฐบาลทำอย่างเต็มที่โดยต้องการให้คนมีความรับผิดชอบเมื่อได้มีการกู้เงินไปแล้วจะต้องชำระคืนตามเวลาที่กำหนด แต่ต้องไม่เกิดเป็นภาระของประชาชนในการชำระดอกเบี้ย จึงได้มีการออกมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยช่วยลดผลกระทบประชาชน ย้ำว่ารัฐบาลยังให้ความสำคัญกับกลุ่มของผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่เข้าสู่ระบบการศึกษาให้เข้าสู่ระบบการศึกษา มุ่งเน้นไปยังสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ซึ่งวันนี้เราต้องร่วมมือกันภายในกรอบที่สามารถกระทำได้ โดยเป็นไปตามกติกา เคารพสิทธิมนุษยชนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอดของเราทุกคน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีที่มีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอกว่า ไม่อยากให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งในส่วนของเรื่องที่เป็นความจริงและไม่เป็นความจริง เพราะไม่อยากให้เกิดความเสียหาย อยากให้ทุกคนเคารพในกฎหมายด้วย พร้อมยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีเพกาซัส ให้เป็นหน้าที่ของส่วนกฎหมายดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน แต่เป็นเวลาที่ควรพูดในสิ่งที่จะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติให้มากที่สุด