เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ Airbnb ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจองที่พักระดับโลก พบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการค้นหาที่พักเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นกว่า 180% เมื่อเปรียบเทียบระหว่างไตรมาส 1 ของปี 2564 กับปี 2565 อันเป็นผลสะท้อนสอดรับกับการที่รัฐบาลผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ด้านการเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมทั้งชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว ผ่านการประกาศ “ปีส่งเสริมท่องเที่ยวไทย 2565-2566” หรือ Visit Thailand Year 2022-2023 เพื่อกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยมากขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบจากการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในการทำงานทางไกลและมีจำนวนของ Digital Nomad เพิ่มมากขึ้น ทำให้การเข้าพักระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น (การเข้าพัก 28 วันหรือมากกว่า) โดยจากข้อมูลล่าสุดของ Airbnb 5 จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา (ชลบุรี) เชียงใหม่ และเกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวมีความสนใจอยากออกไปสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ มากขึ้น อาทิ เกาะลันตา (กระบี่) ตราด ปาย (แม่ฮ่องสอน) และชะอำ (เพชรบุรี) โดยนักท่องเที่ยวที่มีการค้นหาเพื่อเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด ได้แก่ นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยแล้วกว่า 2.7 ล้านคน โดยคาดหมายว่าตลอดปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน ตามเป้าที่ตั้งไว้ และสำหรับในปี 2566 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางเป้าหมายพลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่หมุดหมายการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นคุณค่าและความยั่งยืน มีรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งเที่ยวในประเทศและต่างชาติเที่ยวไทยอยู่ที่ระหว่าง 1.25-2.38 ล้านล้านบาท ผ่านการวางเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจ 3 ซีนาริโอ ได้แก่
1. กรณีเลวร้ายสุด (Worst Case) รายได้ท่องเที่ยวรวม 1.25 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ไทยเที่ยวไทย 6.7 แสนล้านบาท (117 ล้านคน-ครั้ง) และต่างชาติเที่ยวไทย 5.8 แสนล้านบาท (11 ล้านคน)
2. กรณีฐาน (Base Case) รายได้ท่องเที่ยวรวม 1.73 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ไทยเที่ยวไทย 7.6 แสนล้านบาท (130 ล้านคน-ครั้ง) และต่างชาติเที่ยวไทย 9.7 แสนล้านบาท (18 ล้านคน)
3. กรณีดีที่สุด (Best Case) รายได้ท่องเที่ยวรวม 2.38 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ไทยเที่ยวไทย 8.8 แสนล้านบาท (135 ล้านคน-ครั้ง) และต่างชาติเที่ยวไทย 1.50 ล้านล้านบาท (30 ล้านคน) ซึ่งในกรณีนี้คือ การที่นักท่องเที่ยวจีนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อการผลักดัน ประเมิน และกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทย ซึ่งจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาอย่างต่อเนื่องและรอบคอบ ส่งผลให้แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น สะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังฟื้นตัว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังให้มีความหลากหลาย ตอบรับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ พร้อมเน้นย้ำการปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุข ท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย สร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนไทย” นายธนกรฯ กล่าว