กลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ในเชียงใหม่ รวมตัวร้องสื่อ ถูกอดีต ผจก.ด้านสินเชื่อธนาคารชื่อดัง ลวงลงทุนด้านสินเชื่อ อ้างได้ผลตอบแทนดี สุดท้ายสูญเงินมูลค่าเสียหายร่วมกว่า 300 ล้าน ขณะที่สืบสาวราวเรื่องพบผู้เสียหายผุดไม่ต่ำกว่า 15 ราย พากันเข้าแจ้งความตั้งแต่ต้นปี 65 แต่เรื่องยังเงียบ
วันที่ 6 ก.ย.65 กลุ่มตังแทนผู้เสียหายนักธุรกิจรายใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ นำเรื่องราวเข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน กรณีถูกเจ้าหน้าที่ของธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง ชักชวนให้ร่วมลงทุนสินเชื่อ โดยการให้เงินช่วยเหลือในการนำไปใช้เป็นเงินสินเชื่อ แล้วจะได้รับค่าตอบแทน 1 เปอร์เซ็นต์ จากเงินที่ร่วมลงทุนไป แต่ต่อมาหลังร่วมลงทุนไปนานประมาณ 10 เดือน กลับถูกผู้ชักชวนบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงินผลตอบแทน หนำซ้ำเงินที่ลงทุนก็กลับไม่ได้คืน ซึ่งเมื่อกลุ่มผู้เสียหายทำการตรวจสอบ พบว่ามีนักธุรกิจหลายรายที่ถูกชักชวนในลักษณะเดียวกัน และเสียหายหลักล้านบาท โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มผู้เสียหายที่มาร้องเรียนกับสื่อมวลชนในวันนี้ รวมมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ขณะที่เรื่องดังกล่าวได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับคู่กรณีแล้วแต่เรื่องราวกลับยังไม่คืบหน้าแต่อย่างใด และยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลาหลานเดือนแล้ว
ทั้งนี้ นางสาวมีน (นามสมมุติ) หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย เล่าว่า ตนได้รู้จักกับคู่กรณีและถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนมาประมาณ 4 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้บุคคลดังกล่าวเคยเป็นพนักงานในบริษัทของตน ที่ดูแลเกี่ยวกับการตลาด และบัญชี โดยตอนทำงานที่บริษัทของตนนั้นรู้สึกว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคนทำงานเก่ง หลังจากนั้นก็ได้ลาออกไป กระทั่งต่อมาได้มีโอกาสมาเจอกัน โดยบุคคลนี้ก็ได้ขอยืมเงินตน โดยบอกว่าจะนำไปลงทุน และชักชวนตนร่วมลงทุนด้วย ตนเกิดความสนใจจึงได้นำเงินไปลงทุนด้วย โดยในช่วงแรกๆ ได้ลงทุนไปครั้งละประมาณ 1-2 แสนบาท และได้รับผลตอบแทนปกติ หลังจากนั้นบุคคลดังกล่าว ก็ได้ไปทำงานที่ธนาคารดังแห่งหนึ่ง แล้วได้กลับมาปรึกษาตนว่า อยากจะทำเคสส่งธนาคารที่ทำอยู่ เพื่อให้ได้ผลงานเลื่อนตำแหน่ง แต่ต้องการให้ทางตนนำเงินมาช่วยลงทุน ในลักษณะเช่น หากมีนักธุรกิจต้องการไปกู้เงินจากธนาคาร แต่สเตทเมนต์เงินไม่พอ หรือไม่มีเงินอยู่ในบัญชี ก็จะขอยืมเงินของตนไปช่วยผู้ที่จะกู้เงิน ไปใส่ในบัญชีไว้ เพื่อให้ได้รับสินเชื่อจากธนาคาร
โดยในช่วงเริ่มต้นก็มีเอกสาร หลักฐานมาแสดงให้ตนดูว่ามีการกู้เงินจากธนาคารดังกล่าวจริง อีกทั้งมีการแสดงหลักประกัน ที่เป็นสัญญาระหว่างตนกับบุคคลดังกล่าว และบัตรของพนักงานธนาคาร ซึ่งในตอนแรกผลตอบแทนที่ได้รับจะเป็นรายเดือน และตนได้ทำมาเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี โดยไม่มีปัญหาหรือความผิดปกติแต่อย่างใด และได้มีการเรียกเงินทุนที่ลงไปกลับคืนมาด้วย โดยครั้งใหญ่ที่เคยเรียกกลับคืนมาคือประมาณ 97 ล้านบาท และทางบุคคลดังกล่าวก็สามารถนำเงินกลับมาให้ได้ด้วย ทำให้ตนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมาก จึงร่วมลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในช่วงต้นปี 65 บุคคลดังกล่าวเริ่มมีการผิดนัดเวลาที่เราอยากได้เงินคืน และอ้างว่ามีปัญหาทางธนาคาร โดยอ้างว่าธนาคารต้องการตรวจสอบเอกสารเพิ่ม และบ่ายเบี่ยงมาตลอดจนตนเริ่มรู้สึกว่าผิดสังเกต ตนจึงจะขอเข้าไปพบกับธนาคารโดยตรง เพื่อไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของเงินแล้วจะขอเอาเงินที่ลงทุนไปคืน แต่ทางบุคคลดังกล่าวก็ไม่ยอมให้พบกับทางธนาคาร หลังจากนั้นบุคคลดังกล่าวก็ขาดการติดต่อ และไม่สามารถตามหาตัวเจอ ตนจึงสืบสาวราวเรื่องจนกระทั่งพบว่ามีกลุ่มผู้เสียหายที่ถูกหลอกในลักษณะเช่นเดียวกับตนหลายราย จึงได้รวมตัวกันตั้งกลุ่ม และมีการเดินทางนำหลักฐานเข้าแจ้งความกับทางตำรวจเพื่อดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มของตนได้แจ้งความรวมกัน 7 คน แต่หลังจากแจ้งความไปแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
ขณะที่ทางด้าน นายจี (นามสมมุติ) ผู้เสียหายอีกราย บอกว่า ตนกับคู่กรณีเป็นคนรู้จักกันโดยบุคคลดังกล่าวเป็นรุ่นพี่ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยที่เรียนด้วยกัน ตนจึงไว้เนื้อเชื่อใจ ประกอบกับบุคคลดังกล่าวยังเป็นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเชียงใหม่ ในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ทางฝั่งแฟนสาวก็เป็นผู้จัดการด้านสินเชื่อในธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งด้วย โดยบุคคลดังกล่าวได้มีการเข้ามาประกาศแจ้งในกลุ่มนักธุรกิจเมื่อวันที่ 30 เม.ย.64 โดยมีการโพสต์เชิญชวนให้ผู้สนใจเข้ามาร่วมลงทุนในธนาคารที่แฟนสาวทำงานอยู่ โดยให้รายละเอียดในเรื่องของผลตอบแทนต่างๆ ทางตนและกลุ่มนักธุรกิจผู้เสียหายรายอื่นๆ จึงสนใจแล้วเข้าไปติดต่อกับบุคคลดังกล่าวที่เป็นสาวผู้จัดการด้านสินเชื่อในธนาคาร และได้ทำมาต่อเนื่อง โดยมีคอนเซ็ปต์คล้ายกับผู้เสียหายรายแรก ในลักษณะเอาเงินไปลงทุนด้านสินเชื่อแล้วก็ได้เงินตอบแทนกลับมา
โดยตนกับผู้เสียหายรายอื่น ก็ทำมาต่อเนื่องจนกระทั่งเรื่องมาแดงตอนช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นปีที่ผ่านมา และเมื่อสืบสาวราวเรื่องก็ทำให้เจอผู้เสียหายรายอื่นๆ ตามมาแล้วได้มีการรวมตัวกัน ซึ่งในตอนแรกก็คิดว่ามีแค่กลุ่มของตัวเองที่เสียหาย แต่เมื่อมาพูดคุยกันก็พบว่ามีผู้เสียหายอีกหลายๆ รายที่ถูกหลอกในลักษณะเช่นนี้ และพบว่ามีมูลค่าความเสียหายมหาศาล โดยแค่ในส่วนของตนก็เสียหายไปประมาณ 5 ล้านบาท และในกลุ่มของตนที่แจ้งความรวมกันก็มีมูลค่าหลายสิบล้านบาท โดยมีหลักฐานเป็นใบแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และมีผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่แจ้งความด้วยเล่นกัน
อย่างไรก็ตาม ที่ตนกับผู้เสียหายรายอื่นๆ ได้นำเรื่องราวเข้ามาร้องเรียนกับทางสื่อมวลชนในวันนี้ก็เพราะเนื่องจากต้องการขอให้ทางเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบ และเร่งดำเนินการติดตามคดีให้ด้วย เนื่องจากตนกับผู้เสียหายรายอื่นๆ ก็ได้มีการแจ้งความมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด โดยทางกลุ่มต้องการให้ทางตำรวจ อัยการ หรือเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้ความยุติธรรมในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากพวกตนได้รับความเสียหายกับจำนวนมากและเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และเงินที่สูญเสียไปก็เป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง และความสุจริต แต่ขณะที่ทางฝ่ายคู่กรณีที่หลอกลวงโกงเงินไปยังคงลอยนวลใช้ชีวิตปกติอยู่ในพื้นที่ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้ทำงานที่ธนาคารดังกล่าวแล้ว โดยไม่รู้ว่าถูกสั่งออก หรือลาออกเอง แต่จากกรณีที่เกิดขึ้นก็พบว่าคู่กรณีไม่สะทกสะท้านกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด และเกรงว่าอาจจะไปหลอกลวงประชาชนจนเกิดความเสียหายขึ้นอีกได้