เชียงใหม่ สาวเจ้าของร้านสุดช้ำ ลูกจ้างที่ไว้ใจก่อเหตุขโมยเงินขายของในร้านนานร่วมปี กว่าจะรู้ตัวเสียเงินไปกว่าล้านบาท ขอให้เป็นอุทาหรณ์

3573

สาวเจ้าของร้านสุดช้ำน้ำตาตก ลูกจ้างที่ไว้ใจทำกันได้ลง ก่อเหตุขโมยเงินค่าขายของนานร่วมปี กว่าจะรู้ตัวถูกจับได้ยอดเงินเสียไปกว่าล้านบาท ขอให้เป็นอุทาหรณ์

คลิปวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์บางส่วนที่เกิดขึ้นภายในร้านขายของชำแห่งหนึ่งในย่านตำบลสบแม่ข่า อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ บันทึกพฤติกรรมของหญิงลูกจ้างในร้านก่อเหตุขโมยเงินที่ได้จากการขายของ โดยทำทีเป็นนับเงินแล้วแบ่งเงินบางส่วนยัดใส่กระเป๋ากางเกง แถมหลายครั้งที่เมื่อลูกค้าจ่ายเงินมา หญิงสาวลูกจ้างคนนี้ จะทำทีเป็น คิดเงิน-ทอนเงิน แล้วเอาเงินที่ขายสินค้าได้ใส่กระเป๋ากางเกง แทนจะเอาเก็บใส่ลิ้นชักเก็บเงินของร้าน อีกทั้งบางครั้งก็หยิบเงินใส่กระเป๋าหลากหลายวิธี เพื่อหลบหลีกกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ภายในร้าน และแม้ว่าเจ้าตัวจะรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดก็บันทึกภาพอยู่ก็ตาม

ขณะที่หลังพฤติกรรมก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวหลายครั้งทำให้ทางเจ้าของร้านจับพฤติกรรมของหญิงลูกจ้างรายนี่ได้ในที่สุดพร้อมหลักฐานคามือ ก่อนที่จะมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หางดง เข้ามาจับกุมตัวถึงร้านค้าขณะทำงาน และมีการนำภาพหลักฐานรวมถึงเหตุการณ์บางส่วนโพสต์ลงในโซเชียล เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับร้านค้าทั่วประเทศในการจ้างลูกจ้าง รวมถึงการตรวจสอบร้านให้ดีเวลาที่จ้างให้ลูกจ้างอยู่ดูแลแทน และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้เจ้าของร้านถึงกับเข็ดหลาบ

ขณะที่ล่าสุดวันนี้ (5 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวได้ติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเข้าพบกับทาง นางโสภา สุติวงค์ อายุ 31 ปี เจ้าของร้านที่เกิดเหตุ ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ลูกจ้างที่ปรากฏในคลิปคือ ..ออม (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี ซึ่งได้ทำงานที่ร้านมาเกือบจะ 3 ปีแล้ว โดยในตอนที่ตนรับหญิงสาวคนนี้เข้ามาทำงานก็เพราะเกิดความสงสารเนื่องจากเจ้าตัวอุ้มลูกน้อยมาขอสมัครงานที่ร้าน และเห็นว่าเป็นคนในพื้นที่ ประกอบกับตนรู้จักบ้านและที่อยู่ รวมไปถึงครอบครัวของหญิงสาวคนนี้ ก่อนหน้านี้หญิงสาวลูกจ้างคนนี้ก็เป็นคนขยันทำงานเป็นอย่างดี จนกระทั่งตนไว้เนื้อเชื่อใจ ให้ดูแลร้านและดูแลเงินค่าขายของ รวมถึงส่งยอดเงิน

ต่อมาตนกับสามีมาพบว่ายอดเงินหายไปอย่างผิดปกติ ซึ่งในตอนแรกตนคิดว่าเป็นผลกระทบที่เกิดจากช่วงเศรษฐกิจไม่ดี และช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด รวมไปถึงเรื่องของตลาดสินค้าที่มีร้านค้าคู่แข่งเพิ่มขึ้น ทำให้ตนถึงขั้นต้องไปกู้เงินมาประคองกิจการและทำธุรกิจ เป็นเงินหลักล้าน แต่ก็พบว่ายอดเงินลดลงและยังขาดทุน ทำให้ตนเกิดความสงสัย เนื่องจากของที่ลงทุนในร้านเยอะมาก แต่รายได้กลับหดหาย บางวันยอดขายไม่ถึงหมื่น ตนก็เริ่มสงสัยว่ามีความผิดปกติ และได้ปรึกษากับสามี ถึงขั้นลงทุนซื้อกล้องวงจรปิดมาติดเพิ่ม เพราะสงสัยลูกจ้างสาวคนนี้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา ขณะตนกำลังขึ้นไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก สามีก็โทรศัพท์มาบอกว่า ..ออม กำลังขโมยเงินจากลิ้นชักเก็บเงินหน้าเคาน์เตอร์ โดยเห็นจากภาพกล้องวงจรปิด หลังจากนั้นตนกับสามีก็มาตรวจสอบภาพในกล้อง และย้อนไปดูภาพพบว่าในวันดังกล่าว ..ออม ได้ก่อเหตุขโมยเงินในลิ้นชักไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง และแต่ละครั้งเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท เมื่อตนเห็นพฤติกรรมของลูกจ้างที่ก็ถึงกับตกใจ และได้เข้าไปแจ้งความในคืนวันดังกล่าว (31 มี.ค.66) ที่ สภ.หางดง พร้อมกับปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นในช่วงเช้าวันที่ 1 เม.ย.66 ก็รอให้ ..ออม มาทำงานตามปกติ จากนั้นก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมตัวดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบและขั้นตอนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

นางโสภา เล่าทั้งน้ำตาด้วยว่า ตนรู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะตนก็ไว้ใจลูกจ้างหญิงคนนี้มาก แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะมาทำกับตนแบบนี้ ซึ่งตอนที่ทำงานตนก็ดูแล และให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะเห็นว่าหญิงคนนี้ลูกก็ยังเล็ก และไม่เคยดุด่าเลยตลอดที่ทำงานที่ร้าน รวมทั้งจ่ายค่าจ้างเป็นเงินวันละ 400 บาท แต่หลังจากที่มาเห็นพฤติกรรมของลูกจ้างคนนี้ที่ทำบ่อยครั้ง และเจ้าตัวยังสารภาพมาอีกว่าทำแบบนี้มาแล้วเป็นระยะปีกว่า โดยอ้างว่า ต้องการนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัว ตนก็ถึงน้ำตาตกเพราะเงินที่หายไปหากคิดรวมๆ แล้วยอดไม่ต่ำกว่าหลักล้าน เพราะที่ก่อเหตุแต่ละครั้งก็ไม่ต่ำกว่า 4-5 พันบาท ซึ่งในตอนแรกตนคิดว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะก่อเหตุเอาเงินไปไม่มากนัก แต่พอเห็นว่าเจ้าของร้านไม่ทราบหรือจับไม่ได้จึงเกิดความย่ามใจและขโมยมากขึ้น

เจ้าของร้าน

ส่วนสาเหตุที่ตนเพิ่งจะมาทราบเรื่องก็เนื่องจาก ตนไว้ใจหญิงสาวลูกจ้างคนนี้มากเกินไป ประกอบกับส่วนใหญ่ตนก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลร้านด้วยตัวเองเพราะต้องเลี้ยงลูก จึงให้หญิงสาวคนนี้ดูแลและส่งยอด และเมื่อตรวจสอบยอดขายในร้านก็ตรงกัน เพราะลูกจ้างสาวคนนี้จะกดลบยอดขายที่ขโมยไป จึงทำให้ตนไม่ทราบเรื่อง

อย่างไรก็ตามตนอยากฝากถึงน้องลูกจ้างคนนี้ว่า ทำกับตนแบบนี้ได้อย่างไรทั้งๆ ที่ตนให้ความไว้เนื้อเชื่อใจและให้งานทำ เพราะสงสารที่มีลูกต้องเลี้ยงดู ประกอบกับให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง เวลาของไม่พอ ก็ไปหาซื้อเข้าร้าน จนถึงขั้นต้องไปหยิบยืมเงินญาติพี่น้อง เพื่อนำมาประกอบกิจการ แต่กลับมาขโมยและเอาเงินไปโดยที่ไม่สำนึกถึงบุญคุณที่ช่วยเหลือกัน แถมยังทำมานานร่วมปี โดยไม่สงสารกัน จึงทำให้ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ ตนอยากฝากถึงผู้ประกอบการ ร้านค้า และผู้ที่ทำธุรกิจในลักษณะเดียวกันกับตนทั่วประเทศ ในเรื่องของการจ้างลูกจ้างมาทำงานว่า อย่าให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากจนเกินไป ควรจะตรวจสอบ และเช็กให้ดีว่าลูกจ้างมีพฤติกรรมเป็นเช่นไร และควรตรวจเช็กเงินหรือทรัพย์สินในร้านให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับตน ที่เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจมากจนเกินไป