กลุ่มผู้เสียหายหอบหลักฐานร้องสื่อ ถูกภรรยานักการเมืองดังในเชียงใหม่ หลอกลงทุนกู้ยืมเงิน อ้างให้เงินปันผล 10 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายเชิดทั้งเงินปันผลและลงทุน พบมูลค่าเสียหายกว่า 50 ล้านบาท ขณะที่แจ้งความดำเนินคดีแล้วแต่เรื่องยังเงียบ แถมอีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไม่ยอมขึ้นศาล นำเรื่องราวออกแฉหวังเป็นอุทาหรณ์
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 กลุ่มผู้เสียหายจำนวนหลายราย ได้เดินทางนำหลักฐานเข้าร้องเรียนกับทางผู้สื่อข่าว จากกรณีที่ถูกหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งเป็นภรรยาของนักการเมืองในจังหวัดเชียงใหม่ หลอกร่วมลงทุนในลักษณะการกู้ยืมเงิน โดยระบุว่า จะได้รับเงินปันผล 10 เปอร์เซ็นต์ ของเงินที่ลงทุน แต่ภายหลังลงทุนไปได้ระยะหนึ่ง กลับถูกหญิงสาวคนดังกล่าวบ่ายเบี่ยงในการให้เงินปันผล อีกทั้งไม่ยอมคืนเงินทุนให้ จนกระทั่งมีการนำหลักฐานเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับหญิงคนดังกล่าว โดยผู้เสียหายบางรายระบุว่า ถูกหญิงสาวรายนี้หลอกลงทุนเสียหายไปไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท อีกทั้งมีผู้เสียหายในกลุ่มเดียวกัน 20-30 ราย และรวมมูลค่าความเสียหายที่ถูกหญิงสาวภรรยานักการเมืองรายนี้หลอกไปไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหาย เล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้รู้จักกับ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของนักการเมืองคนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ จากกลุ่มของผู้ปกครองโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ โดยหญิงสาวคนนี้จะเข้ามาตีสนิทพูดคุย จนรู้จักกันไปได้ระยะหนึ่งก็จะเชิญให้ร่วมลงทุนกับตัวเองในลักษณะของการกู้ยืมเงิน โดยบอกว่าจะมีเงินปันผลให้ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ประกอบกับเป็นกลุ่มผู้ปกครองที่รู้จักกัน ทำให้ตนตัดสินใจร่วมลงทุนไป ซึ่งในตอนแรกหญิงสาวคนนี้ก็จะให้ตนลงทุนเป็นเงินก้อนประมาณ 1-2 แสนบาท หลังจากนั้นก็ให้เงินปันผล 10 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ตกลงกันไว้ แต่ในแต่ละเดือนหญิงสาวคนนี้ก็จะมีการเรียกเงินลงทุนเพิ่ม โดยให้เงินปันผล 10 เปอร์เซ็นต์ จากเงินลงทุนแรก แล้วเรียกเงินลงทุนของเดือนต่อไปเพิ่มอีก ทำให้ยอดเงินลงทุนทบกันมากขึ้น หลังจากนั้นก็อ้างว่าได้นำเงินของกลุ่มผู้ลงทุนไปลงทุนธุรกิจอื่น แล้วเกิดล่ม จึงทำให้ไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าปันผล รวมถึงเงินทุน ทำให้กลุ่มผู้เสียหายพากันเรียกร้องเงินลงทุนที่เสียไปคืน แต่ทางหญิงสาวคนนี้ก็จะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินให้ จนกระทั่งทางกลุ่มผู้เสียหายต้องแจ้งความในที่สุด
นอกจากนี้ หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายอีกรายที่อยู่ต่างประเทศ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับทางผู้สื่อข่าว พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า รู้จักกับหญิงสาวคนนี้เพราะเป็นน้องสะใภ้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มาชักชวนตนร่วมลงทุน โดยอยากให้ตนเป็นนายทุนให้แล้วจะแบ่งเงินปันผลให้ 10 เปอร์เซ็นต์ และบอกกับตนว่าจะเอาเงินที่ลงทุนไปปล่อยเงินกู้ ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจตนจึงลงทุนไปในปีแรกประมาณ 4 ล้านบาท และในปีที่สองประมาณ 8 ล้าน รวมเงินลงทุนประมาณ 12 ล้านบาท แต่เมื่อมาถึงปีที่สอง ทางฝั่งหญิงสาวที่เป็นน้องสะใภ้มาบอกกับตนว่า ถูกคนกู้เงินล้มเงินทั้งหมด และบอกอีกว่าไม่มีเงินทีาจะจ่ายให้กับตน แต่ทางตนก็เรียกขอเพียงเงินต้นที่ลงทุน ประมาณ 8 ล้านบาทคืน แต่ก็ไม่ได้รับเงินคืนแต่อย่างใด และยังคงถูกบ่ายเบี่ยงมาหลายเดือนแล้ว
ขณะเดียวกันจากการที่ตนอยู่ต่างประเทศ ทำให้ตนไม่ทราบว่า มีกลุ่มผู้เสียหายเกิดขึ้น และไม่ทราบเลยว่าหญิงสาวน้องสะใภ้คนนี้ไปลงทือทำแบบในลักษณะเดียวกันกับคนอื่น จนเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งทราบว่า มีผู้เสียหายที่ถูกหญิงสาวคนนี้หลอกในลักษณะเดียวกันจำนวนมาก และมาทราบว่าเงินที่ถูกเอาไปนั้นไม่ได้เอาไปปล่อยเงินกู้ แต่ถูกนำไปถลุงกับอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน โดยภายหลังจากที่ตนทราบความจริงทั้งหมด ตอนนี้ตนก็มีอาการเครียดและเป็นโรคซึมเศร้า อีกทั้งในตอนนี้หญิงสาวน้องสะใภ้คนนี้ก็มีการปิดกั้นการติดต่อ ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าขนาดเป็นญาติและคนรู้จักใกล้ตัวก็ยังหลอกกันได้ลง
อย่างไรก็ตามทางด้านกลุ่มผู้เสียหาย ระบุว่า การรวมตัวกันเข้าร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวในครั้งนี้ เนื่องจากผู้เสียหายแทบทุกรายได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับหญิงสาวคู่กรณีแล้ว อีกทั้งบางรายก็อยู่ในกระบวนการฟ้องร้องกันอยู่ แต่ทางฝั่งหญิงสาวคู่กรณีก็ยังบ่ายเบี่ยง และไม่ยอมมาขึ้นศาล ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มผู้เสียหายที่ถูกหญิงสาวคนนี้หลอก จะเป็นกลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว และกลุ่มแม่ลูกอ่อน ที่อาศัยความสงสารเข้ามาชักชวนและอ้างว่าอยากช่วยเหลือ แต่กลับกลายเป็นว่ามาหลอกเอาเงินไปจนทำให้ได้รับความเดือดร้อน
ทั้งนี้ อยากฝากถึงทางด้านหญิงสาวคู่กรณีด้วยว่า ตอนนี้หลายคนที่ถูกหลอกต่างก็ได้รับความเดือดร้อน เพราะบางรายที่หลอกไปนั้นก็นำเงินเก็บทั้งชีวิตออกมาใช้ จนในตอนนี้ต้องกลายเป็นคนกู้หนียืมสินเพื่อเอาเงินมาให้ น.ส.เอ (นามสมมุติ) คนนี้แต่กลับถูกหลอกไป จนทำให้บางรายเกิดความเครียดจนแทบจะฆ่าตัวตาย และที่มารวมตัวร้องเรียนกับสื่อเพราะไม่อยากให้หญิงสาวคนนี้ไปกระทำกับคนอื่นอีก รวมทั้งอยากเตือนเป็นอุทาหรณ์มห้กับกลุ่มคนที่อาจจะกำลังถูกหญิงสาวคนนี้หลอกในลักษณะดังกล่าวด้วย เพราะทางกลุ่มผู้เสียหายของตนก็ไม่ทราบว่า น.ส.เอ (นามสมมุติ) คนนี้ จะไปหลอกลวงผู้เสียหายกลุ่มอื่นอีกหรือไม่