คนที่ไว้ใจร้ายที่สุด สาวเจ้าของธุรกิจนวดสปา สุดช้ำ ถูกลูกจ้างคนสนิทแทงข้างหลัง โกงยักยอกเงินร้านกว่า 1.2 ล้านบาท เจ็บใจกว่าคือไปเปิดธุรกิจเอง ก็อปตั้งแต่รูปแบบตกแต่งร้านเหมือนยันถังขยะ แอบลวงดึงลูกค้าประจำไปใช้บริการ แถมชักชวนตัวเองให้ไปเป็นหุ้นส่วนด้วย
วันที่ 30 พ.ค.66 นางสาวธิรดา สว่างสัจธรรม อายุ 38 ปี เจ้าของธุรกิจนวดสปา แห่งหนึ่งในย่าน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ นำหลักฐานแจ้งความลงบันทึกประจำวัน และหลักฐานหลายอย่างมาแสดงกับทางผู้สื่อข่าว ภายหลังจากที่เมื่อวันที่ 2 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ตนได้ไปแจ้งความที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ กรณีถูกลูกจ้างสาวอดีตผู้จัดการร้านก่อเหตุโกงเงินภายในร้าน มานานร่วมหลายเดือนแต่เจ้าตัวเพิ่งมาทราบเรื่อง จากความที่ตัวเองไว้เนื้อเชื่อใจเพราะเป็นคนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน และให้ความรักเอ็นดูช่วยเหลือกันตลอดเป็นเวลากว่า 2 ปี แต่สุดท้ายหญิงสาวรายนี้กลับโกงยักยอกเงินร้านไปหลายครั้ง โดยเท่าที่ตรวจสอบพบหลักฐานไม่ต่ำกว่า 200 ครั้ง และเป็นเงินคิดรวมกันมูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท
แถมล่าสุดยังได้ไปเปิดกิจการในลักษณะเดียวกันในย่านรวมโชค เชียงใหม่ ที่มีลักษณะร้านรูปแบบเดียวกันกับร้านตัวเอง ทั้งการตกแต่งร้าน โทนสี ฟอนต์ตัวหนังสือร้าน อีกทั้งวัสดุเฟอร์นิเจอร์ และของใช้บริการในร้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งถังขยะ นอกจากนี้ยังมีการก๊อปสูตรแชมพู และสูตรสปาของทางร้าน รวมทั้งยังมีการแอบอ้างดึงลูกค้าประจำของร้านไปเป็นลูกค้าของตัวเองจนขณะนี้ทำให้ธุรกิจของตัวเองย่ำแย่ เนื่องจากขาดพนักงานดูแลร้าน และผลกระทบจากที่ลูกค้าหลายรายซื้อคอร์สไว้ที่ร้านจากที่หญิงคนดังกล่าวได้หลอกขายให้กับลูกค้า แต่เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และทิ้งภาระไว้ให้ทางร้านรับผิดชอบ จนต้องปิดกิจการมานานร่วม 1 เดือนแล้ว จนตนเกิดความเครียดและนำเรื่องมาเปิดเผยในที่สุด
โดยทางด้าน นางสาวธิรดา เจ้าของธุรกิจนวดสปา ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนได้รู้จักกับอดีตลูกจ้าง ในช่วงโควิดระบาด โดยตนได้ประกาศรับสมัครพนักงานมาดูแลร้าน และอดีตลูกจ้าง ได้สมัครเข้ามา โดยตนพบประวัติมีประสบการณ์การทำงานมาจากสปาชื่อดังแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ จึงตัดสินใจรับเข้ามาทำงาน เพราะเห็นว่าผู้หญิงคนนี้สามารถทำงานได้หลายรูปแบบ และเมื่อรับเข้ามาทำงานก็พบว่าทำงานเก่ง ตนจึงมอบหมายให้หญิงสาวคนนี้ทำงานหน้าร้าน
จนผ่านมาได้ประมาณ 1 ปี ตนอยากจะขยายกิจการ จึงตัดสินใจนำเงินลงทุนก้อนสุดท้ายมาลงทุนเปิดนวดสปาอีกสาขาที่ อ.หางดง และให้อดีตลูกจ้าง มาดูแลกิจการที่สาขาหางดง โดยในช่วง 3 เดือนแรก ไม่ได้มีปัญหาอะไร กระทั่งเข้าช่วงเดือนที่ 4 ตนพบว่า ยอดเงินหายไปผิดปกติ 40,000 – 70,000 บาท/เดือน ซึ่งในตอนแรกตนไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด เพราะด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ และคิดว่าเป็นผลกระทบมาจากโควิด จนกระทั่งผ่านไปกว่า 9 เดือน และ อดีตลูกจ้างได้มาขอลาออก โดยให้เหตุผลว่าจะกลับไปดูแลกิจการและครอบครัวที่บ้าน ตนก็ได้ให้ลาออกไปโดยมีการเขียนเอกสารลายลักษณ์อักษรไว้
ต่อมา มีลูกค้ารายหนึ่ง ทักเข้ามาหาตนว่า อยากทำสปากับ อดีตลูกจ้าง และคนที่ชื่อเจี๊ยบ ซึ่งตนก็สงสัยว่าคนชื่อเจี๊ยบ คือใคร เนื่องจากที่ร้านไม่มีพนักงานชื่อดังกล่าว จนตนไปตรวจสอบทราบในที่สุดว่าอดีตลูกจ้าง ได้ไปเอาพนักงานข้างนอกเข้ามารับงานที่ร้านเป็นรายชั่วโมง แล้วเขียนเอกสารขึ้นมาใหม่ อย่างเล่น ลูกค้าที่มาใช้บริการซื้อคอร์สกับทางร้าน 9,900 บาท อดีตลูกจ้างก็จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้เป็นลูกค้ามาทำสปาขัดผิวในราคา 490 บาท ส่วนเงินที่เหลือก็จะเอาไปเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งหมด
นอกจากนี้ที่ผ่านมา อดีตลูกจ้างยังเคยเล่าถึงเรื่องปัญหาครอบครัวให้ตนฟังว่า ที่บ้านมีปัญหาด้านการเงิน อีกทั้งพ่อก็ล้มป่วย เดินไม่ได้ อีกทั้งที่บ้านก็มีคนพิการอีกคน คือพ่อของสามี อีกทั้งยังมีภาระที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูส่งเสียลูกชาย สร้างเรื่องราวให้ดูน่าสงสารมาก จนทำให้ตนเห็นใจ และก่อนที่อดีตลูกจ้าง จะลาออกจากงานตนยังได้อวยพรให้ อีกทั้ง อดีตลูกจ้างยังบอกกับตนว่าจะกลับมาตอบแทนบุญคุณตนทุกบาททุกสตางค์ ซึ่งตอนนั้นตนได้ยินที่ อดีตลูกจ้างพูดก็ยังสงสัยว่าจะตอบแทนเรื่องอะไร
จนกระทั่งตนมาทราบภายหลังว่า อดีตลูกจ้างได้โกงเงินทางร้าน ทำให้ตนเข้าใจแล้วว่าที่ อดีตลูกจ้างพูดก่อนหน้านี้คืออะไร และต่อมาตนยังมาทราบจากลูกค้ารายหนึ่งที่มาใช้บริการที่ร้านอีกว่า อดีตลูกจ้างได้ไปเปิดกิจการนวดสปา ในลักษณะเดียวกันกับตน และลูกค้ายังสอบถามมาที่ตนอีกว่า ร้านดังกล่าวเป็นสาขาเปิดใหม่หรือไม่ ซึ่งในตอนนั้นตนก็ตกใจ เนื่องจากสาขาที่เกิดอยู่ก็พยุงแทบไม่ไหว และเป็นไปไม่ได้ที่จะไปเปิดสาขาเพิ่ม ตนจึงเริ่มสงสัยและได้เรียก อดีตลูกจ้าง เข้ามาพูดคุย พร้อมทั้งให้เข้ามาเซ็นใบลาออก
หลังจากนั้นตนเริ่มสงสัยว่า อดีตลูกจ้างไปเปิดกิจการได้อย่างไร จึงมีการตรวจสอบหลักฐานที่ผ่านมา จนในที่สุดก็พบว่าที่ผ่านมา อดีตลูกจ้างมีการโกงเงินและยักยอกทรัพย์ อีกทั้งล่าสุดยังมีลูกค้าที่ร้านโอนเงินจำนวน 10,000 บาทเข้ามาที่ร้าน แล้วแจ้งกับทางตน แต่เงินที่โอนไปเป็นชื่อบัญชีของอดีตลูกจ้าง และนอกจากนี้เมื่อตนเริ่มรื้อหลักฐานก็พบว่ามีรายการที่ถูกอดีตลูกจ้าง โกงยักยอกเงินไปนับไม่ถ้วน จากรหัสลูกค้าประมาณ 170 คน พบว่ามีการโกงไปทุกวัน จนตนดูไม่ไหว แต่เมื่อสอบถามกับอดีตลูกจ้าง ก็ไม่ยอมรับและยอมรับเฉพาะหลักฐานที่ตนค้นเจอเท่านั้น โดยตอนแรกสารภาพว่าโกงไปหลักหมื่น แต่เมื่อตนค้นหลักฐานเรื่อยๆ ก็เพิ่มขึ้นอีก จนตอนนี้พบหลักฐานที่อดีตลูกจ้าง ทำการโกงไปประมาณ 1.2 ล้านบาท
นางสาวธิรดา ผู้เสียหาย บอกอีกว่า สาเหตุที่ตนไม่แจ้งความดำเนินคดีกับอดีตลูกจ้าง และแจ้งเป็นการลงบันทึกประจำวันไว้ ก็เนื่องมาจากเกิดความสงสาร และอยากให้อดีตลูกจ้าง กลับตัวกลับใจ เพราะที่ผ่านมามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตลอดมา อีกทั้งอยากให้เรื่องนี้จบ โดยหลังจากเจรจาไกล่เกลี่ยกัน จากเงิน 1.2 ล้านบาท ตนขอเรียกคืนเพียง 600,000 บาท และได้ให้ทางอดีตลูกจ้าง ทำสัญญาว่าจะผ่อนจ่ายให้เดือนละ 20,000 บาท ซึ่งในตอนแรกตนคิดว่าเรื่องจะจบลงเท้านี้ แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น อดีตลูกจ้างยังคงไม่สำนึกผิด และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยหลังจากเปิดกิจการ ได้มีการลอกเลียนแบบสูตรสปาไปใช้ที่ร้านตัวเอง อีกทั้งมีการก็อปข้อความหน้าเพจร้าน เอาไปปรับนิดๆ หน่อยๆ แล้วโฆษณาดึงลูกค้าเข้าร้าน นอกจากนี้ยังมีการนำฐานข้อมูลของร้านตนทั้งหมด ไปแอดไลน์ โทรหาลูกค้าเสนอโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้าไปร้านตัวเอง นอกจากนี้หลังการเจรจาครั้งล่าสุดกับทางอดีตลูกจ้าง ยังมีการชักชวนให้ตนเข้าไปเป็นหุ้นส่วนเพื่อบริหารธุรกิจครึ่งหนึ่ง แต่ตนไม่ตกลงเพราะไม่ใช่ธุรกิจของตนและรู้สึกว่าตนถูกแทงข้างหลังมาโดยตลอด และกลัวว่าจะถูกหักหลังอีก
นางสาวธิรดา ผู้เสียหาย พูดทิ้งท้าย ตนอยากฝากถึงอดีตลูกจ้าง คู่กรณีว่า หลังจากนี้หากยังพบว่ามีพฤติกรรมในลักษณะนี้อีก ตนก็คงจะต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะที่ผ่านมาตนให้โอกาสมามากแล้ว แต่เหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้สำนึกผิดแต่อย่างใด และยังคงแทงข้างหลังตนอีกซ้ำๆ โดยหลังจากนี้หากตนดำเนินคดี แล้วตัดสินว่าอีกฝ่ายต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายตนก็จะปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก พร้อมทั้งอยากฝากเตือนผู้ที่ทำธุรกิจในลักษณะเดียวกัน หรือธุรกิจที่ต้องจ้างลูกจ้าง ควรตรวจสอบให้ดี อย่างไว้ใจใครมากจนเกินไป อย่าให้คนคนเดียวมาดูแลหรือทำอะไรหลายๆ อย่าง และควรมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด หรือบัญชีการเงินให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะของตน และอยากให้เรื่องของตนเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ทำธุรกิจด้วย