22 มิ.ย. 67 – นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบัน ข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรคฯ ของกองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 – 20 มิถุนายน 2567 มีรายงานผู้ป่วย 186,900 ราย มีรายงานผู้เสียชีวิต 14 ราย พบในจังหวัดนครราชสีมา 5 ราย นครศรีธรรมราช 2 ราย ชัยภูมิ สุราษฎร์ธานี กรุงเทพมหานคร สุโขทัย สมุทรปราการ ภูเก็ต และกาฬสินธุ์ จังหวัดละ 1 ราย ซึ่งจากข้อมูลการเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อก่อโรคไข้หวัดใหญ่และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในประเทศไทยเฉพาะพื้นที่ (Sentinel Surveillance) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 – 16 มิถุนายน 2567 โดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และศูนย์ความร่วมมือไทย – สหรัฐ ด้านสาธารณสุข ในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จำนวน 2,284 ราย พบว่าเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิด A/H3N2 จำนวน 1,044 ราย (ร้อยละ 45.71) ชนิด B จำนวน 619 ราย (ร้อยละ 27.10) ชนิด A/H1N1 (2009) จำนวน 594 ราย (ร้อยละ 26.14) และชนิด A ไม่ระบุสายพันธุ์ จำนวน 24 ราย (ร้อยละ 1.05)
นายแพทย์ธงชัย กล่าวต่อว่า แม้โรคไข้หวัดใหญ่จะเป็นโรคประจำถิ่นที่มีมานานและพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี แต่ก็สามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยบางรายได้ เช่น ภาวะปอดอักเสบ อาการหอบหืดกำเริบ สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ทั้งนี้ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงที่มักพบอาการแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น จึงขอเชิญชวนประชาชนโดยเฉพาะ 7 กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ฟรี ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงสิงหาคม 2567 (ปีละ 1 ครั้ง) เพื่อลดความรุนแรงของโรค ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และความเสี่ยงในการเสียชีวิต ซึ่งช่วงฤดูฝนของทุกปีมักพบการแพร่ระบาดของโรคสูง
กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยสามารถป้องกันได้ทั้งโรคโควิด19 เชื้อ RSV และโรคติดเชื้อระบบหายใจอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ดังนี้
1. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ รวมถึงเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวและสิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อย ๆ เช่น ลูกบิดประตู ของเล่น
2. ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะหรือกิจกรรมที่มีคนรวมตัวกันมาก
3. เมื่อไอ จาม ต้องใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากและจมูกทุกครั้ง
4. กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์ โรคอ้วน เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี ผู้พิการทางสมอง ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป โรคธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต
5. โรงเรียนควรคัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้า หากพบมีอาการไข้ ไอ จาม ขอให้นักเรียนใส่หน้ากากอนามัย และให้ผู้ปกครองมารับกลับไปรักษาที่บ้าน
6. ผู้ป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน พักรักษาตัวเป็นเวลา 3 – 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ และสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง และหากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว
7. ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ หรือถ้าจำเป็นควรปิดปาก ปิดจมูกด้วยหน้ากากอนามัย ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน ใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านหรือแออัด
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น หอบเหนื่อย ซึมลง รับประทานอาหารได้น้อย ควรรีบกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422