สธ. เทียบประสิทธิภาพหน้ากากอนามัยกรองฝุ่น PM2.5 แนะเลือกใช้ให้เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง

10

27 ม.ค. 68 – พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 สูง ได้แก่ เด็กเล็ก ซึ่งมีอัตราการหายใจสูงกว่าผู้ใหญ่, หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลต่อทารกในครรภ์และทำให้คลอดก่อนกำหนด, ผู้สูงอายุ ซึ่งระบบหายใจมีความเสื่อมตามวัย, ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง อาทิ ตำรวจจราจร พนักงานกวาดถนน/เก็บขยะ พ่อค้าแม่ค้าริมทาง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนงานก่อสร้าง ซึ่งมีโอกาสสัมผัสฝุ่นเวลานาน และผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอด โรคหืด โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัว 4 กลุ่มโรค คือ กลุ่มโรคทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหืด กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มโรคตาอักเสบ และกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ ในช่วงที่สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 สูงเกินมาตรฐาน อาจเกิดอาการกำเริบได้ จึงควรดูแลตนเองเป็นพิเศษ

พญ.จุไร กล่าวต่อว่า หน้ากากแต่ละประเภทจะมีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5 ต่างกัน จึงต้องเลือกหน้ากากให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มและสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 โดยหน้ากาก N95 ทั้งแบบมีวาล์ว และไม่มีวาล์ว สามารถกรองฝุ่นได้ 95% ส่วนหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น PM2.5 (กรณีแนบสนิทใบหน้า) กรองฝุ่นได้ 50-70% ทั้งสองประเภทนี้สามารถใช้ได้ทุกกลุ่ม สำหรับหน้ากากผ้าฝ้าย 3 ชั้น กรองฝุ่นได้ประมาณ 40% และหน้ากากผ้ามัสลิน กรองได้ประมาณ 37% ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง