18 ก.พ. 68 – กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยมีผู้บริหาร ปภ. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมฯ กำชับ 17 จังหวัดภาคเหนือติดตามสถานการณ์ฝุ่นอย่างใกล้ชิดและเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามมาตรการ 6 ด้านของบกปภ.ช เพื่อลดค่าฝุ่น PM2.5 ให้ได้เร็วที่สุด พร้อมประสานจังหวัดอื่น ๆ ให้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ค่าฝุ่น PM2.5 กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน – คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดี – ปลอดภัยกับประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศไทย
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะผู้อำนวยการกลาง/เลขานุการกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พบว่า สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคใต้ ดีขึ้นตามที่ได้คาดการณ์ไว้ หลายพื้นที่มีค่าฝุ่นอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีฟ้าและสีเขียว ส่วนภาคตะวันตกในจังหวัดกาญจนบุรีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่มีพื้นที่ใกล้กับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีส้ม สำหรับภาคเหนือ 17 จังหวัดมีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีเหลืองและสีส้ม มี 2 จังหวัดที่มีค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีแดง ได้แก่ จังหวัดพะเยาและลำปาง โดยในเช้าวันนี้ จังหวัดที่มีค่าฝุ่นสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ จังหวัดพะเยา ลำปาง แพร่ น่าน และกาญจนบุรี ด้านจุดความร้อน (Hotspot) วันนี้ มีจำนวน 2,021 จุด พบสูงสุดที่จังหวัดลำปาง ตาก กาญจนบุรี แพร่ และอุทัยธานี ถึงแม้จะลดลงกว่าเมื่อวาน แต่ยังนับว่าสูงเมื่อช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับสถานการณ์ในห้วงถัดไปนั้นคาดว่าสถานการณ์ฝุ่นจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีมวลอากาสเย็นแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย และมีลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่าน ทำให้มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ซึ่งฝนที่ตกนี้จะช่วยบรรเทาฝุ่นละอองในอากาศได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม จากโมเดลคาดการณ์พบว่าในช่วงวันที่ 17 – 25 กุมภาพันธ์ 2568 ภาคเหนือยังมีอัตราการระบายอากาศที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้สถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่ยังคงน่าเป็นห่วง
“จากข้อมูลทำให้เห็นว่าสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือยังน่าเป็นห่วง ค่าฝุ่นในทุกพื้นที่อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐาน และมีปริมาณจุดความร้อนสูงที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะที่จังหวัดพะเยาและลำปางมีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีแดง ประกอบกับการคาดการณ์อากาศในห้วงถัดไปที่คาดว่าสถานการณ์ในภาคเหนือจะยังไม่ดีขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศที่ปิด การระบายอากาศอยู่ในอัตราที่ต่ำ จึงต้องมีการติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างใกล้ชิด ซึ่งขอเน้นย้ำให้ 17 จังหวัดภาคเหนือและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่เพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินการตามมาตรการทั้ง 6 ด้านของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหา บูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงานเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและตรงจุด รวมถึงหาแนวทางในการจัดการสถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อเสริมการแก้ไขปัญหาให้ประสิทธิภาพ ลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ได้อย่างรวดเร็ว ประชาชนได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 น้อยที่สุด” นายภาสกร อธิบดี ปภ. กล่าว
ด้านนายจำนง สวัสดิ์วงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กล่าวว่า ถึงแม้ภาพรวมสถานการณ์ฝุ่นจะดีขึ้น แต่จำนวนจุดความร้อนที่มีมากถึง 2,021 จุด ยังเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และจำเป็นต้องเร่งลดจำนวนจุดความร้อนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพื่อลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ ขอให้จังหวัดประสานการทำงานกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อลดจำนวนจุดความร้อน โดยมุ่งเป้าลดจุดความร้อนในพื้นที่ที่พบจุดความร้อนมากอย่างพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่การเกษตร สำหรับการดำเนินการที่ได้ทำไปแล้ว อาทิ การประกาศปิดป่า การลงพื้นที่ขอความร่วมมือประชาชนไม่ให้เผาป่า การลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพิจารณาประกาศไม่ให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ตรวจพบจุดความร้อนหรือพบการเผาป่า ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเรื่องการตัดสิทธิ์ให้ความช่วยเหลือทางการเกษตร การดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง และการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้จุลินทรีย์และการไถกลบตอซังแทนการเผา ขอให้มีการดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด”
ในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่น 6 ข้อ และข้อสั่งการของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด รวมถึงเตรียมพร้อมสรรพกำลัง เจ้าหน้าที่ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย สนับสนุนจังหวัดที่มีสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในการควบคุมสถานการณ์ แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งปัจจุบันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับกองทัพบก (ทบ.) ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 ไปประจำการ 2 พื้นที่หลัก คือ จุดที่ 1 ประจำการ ณ กองพลทหารราบที่ 7 จำนวน 1 ลำ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการดับไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ร่วมกับกองทัพภาค 3 และจุดที่ 2 ประจำการ ณ เขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 1 ลำ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจควบคุมไฟป่าในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยผลการปฏิบัติการควบคุมไฟป่าของ KA-32 ภาพรวม (ข้อมูล ณ 17 ก.พ. 68) ได้ออกปฏิบัติการขึ้นบินทิ้งน้ำดับไฟป่า รวม 5 จังหวัด 15 เที่ยวบิน รอบทิ้งน้ำ 150 รอบ ปริมาณน้ำรวม 450,000 ลิตร