สศช. เผยคนไทยกว่า 24 ล้านคน เสี่ยงต่อการเป็น “คนจนหลายมิติ” มีความขัดสนด้านการมีบำเหน็จ-บำนาญ

282

1 มี.ค. 68 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานสถานการณ์ความยากจนหลายมิติของประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีความยากจนหลายมิติในปี 2566 มีค่าเท่ากับ 0.0325 โดยมีคนจนหลายมิติจำนวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 8.76 จากประชากรทั้งหมด ลดลงจากปี 2558 ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 0.0768 และมีสัดส่วนคนจนหลายมิติร้อยละ 20.08 ทำให้ระหว่างปี 2558 – 2566 ประเทศไทยมีสัดส่วนคนจนหลายมิติลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง จึงส่งผลให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติแล้ว

นอกจากนี้ หากพิจารณาความก้าวหน้าในการลดความยากจนหลายมิติของแต่ละช่วงวัยซึ่งเป็นกลุ่ม พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยในปี 2566 ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง จากปี 2558 โดยเฉพาะในกลุ่มวัยแรงงาน (15 – 59 ปี) ที่ลดลงจากร้อยละ 16.06 เป็นร้อยละ 6.03 ขณะที่กลุ่มเด็ก (0 – 14 ปี) และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ลดลงจากร้อยละ 22.34 และ 31.55 เป็นร้อยละ 10.89 และ 14.33 ตามลำดับ เช่นเดียวกับสัดส่วนคนจนหลายมิติของเพศชายและเพศหญิง ในช่วงปี 2558 – 2566 ที่ลดลงมากกว่าครึ่งจากร้อยละ 20.39 และ 19.80 เป็นร้อยละ 9.05 และ 8.50 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายภูมิภาค พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติปรับลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งในเกือบทุกภูมิภาคยกเว้นภาคใต้ โดยทั้งในกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนคนจนหลายมิติลดลงมากกว่าครึ่ง ขณะที่ภาคใต้ลดลงจากร้อยละ 24.56 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 13.59 ในปี 2566 จึงกล่าวได้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยสามารถลดความยากจนหลายมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งแล้วทั้งในภาพรวม จำแนกตามเพศ และช่วงวัย

ประเทศไทยมีนโยบายที่ช่วยสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน และทำให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการลดความยากจนหลายมิติลงครึ่งหนึ่งแล้ว แต่สถานการณ์ความยากจนหลายมิติยังมีข้อค้นพบที่น่าสนใจและความท้าทายหลายด้าน ดังนี้
1. แม้ว่าคนจนหลายมิติในประเทศไทยจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ประเทศไทยยังมีคนจนอยู่อีกจำานวนมาก โดยในปี 2566 ยังมีคนจนหลายมิติจำนวนกว่า 6.13 ล้านคน ทั้งนี้ คนจนในประเทศไทยอาจสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1) กลุ่มคนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว
2) กลุ่มคนจนด้านตัวเงินและคนจนหลายมิติ
3) กลุ่มคนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว โดยปี 2566 ประเทศไทยมีคนจนรวมทั้งสิ้น 7.17 ล้านคน เป็นคนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว 4.78 ล้านคน และเป็นคนจนเงินเพียงอย่างเดียว 1.04 ล้านคน ขณะที่คนจน ที่มีปัญหาทั้ง 2 ด้านมีจำนวน 1.35 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิต และยังมีคนจนอีกกว่าร้อยละ 18.8 ที่ประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีปัญหาที่ซับซ้อนกว่าคนกลุ่มอื่น และอาจสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ยาก

2. มีคนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ เมื่อพิจารณาคนจนหลายมิติตามระดับความรุนแรง พบว่า คนจนหลายมิติโดยส่วนใหญ่เป็นคนจนน้อย โดยมีความขัดสนมากกว่า 1 มิติ แต่ไม่ถึง 2 มิติ จาก 4 มิติ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสมากในการลดจำนวนคนจนหลายมิติลงได้อีก อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีคนที่เสี่ยงจะตกเป็นคนจนหลายมิติอีกจำนวนกว่า 24 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจกลายเป็นคนจนหลายมิติได้ง่าย โดยหากพิจารณาคนกลุ่มนี้ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง และมีรูปแบบความขัดสนคล้ายกับคนจนหลายมิติในภาพรวม กล่าวคือ มีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด รองลงมาเป็นการกำจัดขยะและการถือครองสินทรัพย์ ทั้งนี้ หากพิจารณาคนกลุ่มนี้โดยจำแนกเป็นรายภาค จะพบว่า คนเกือบจนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของคนที่ขัดสนด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญ เท่ากันและสูงถึงร้อยละ 70.5 ต่างกับภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 57.4

3. การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายประการ

4. การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด